โรคที่เกิดจากการทำงาน
URL Copied!

10 โรคจากการทำงาน ที่ HR สามารถช่วยป้องกันได้

ในโลกการทำงานปัจจุบัน แม้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีเทคโนโลยีที่คอยสนับสนุนให้สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วขึ้น แต่เหรียญอีกด้านก็นำมาซึ่งความคาดหวังและความกดดันต่อปริมาณงานและประสิทธิภาพในการทำงาน จนหลายๆ คนเลือกโหมงานหนัก และเกิดความเครียดเพิ่มมากขึ้น 

 

โดยสิ่งที่เกิดขึ้นจากความกดดันและโหมทำงานหนักคืออิริยาบถและวิธีการทำงานที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นท่านั่งที่ผิดหลัก การนั่งทำงานนานเกินไป การจ้องจอคอมมากเกินไป การนั่งทำงานและทานอาหาร น้ำตาลเพื่อเพิ่มพลัง การอั้นปัสสาวะเพื่อทำงานต่อให้เสร็จ ความเครียดจากงานที่ต้องเจอซ้ำๆ การทานอาหารไม่ตรงเวลา นี่คือพฤติกรรมที่เหล่าพนักงานไม่ได้อยากให้เกิดขึ้น แต่เพราะต้องทำงานให้ตรงตามเป้าหมาย จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ข้อมูลจากระบบรายงาน HDC ในปี พ.ศ.2563 พบว่าประชากรวัยทำงานนั้นมีภาวะอ้วนสูงขึ้น และยังมีโอกาสเกิดโรคที่ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ เช่นเบาหวาน ภาวะความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคมะเร็ง รวมไปถึงมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางตา ภาวะไตวายเรื้อรัง โรคเครียดจากการทำงาน ซึ่งโรคดังกล่าวมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี

 

นอกจากนี้ จากสถิติอัตราค่ารักษาพยาบาลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)  และสถิติการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับพนักงานในหลายๆ องค์กร ยังสะท้อนว่าองค์กรต้องสูญเสียงบประมาณค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมากจากการเจ็บป่วยในกลุ่มโรคเบื้องต้น ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่มีแต่เสียไป และส่งผลกระทบทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของคนในองค์กร และประสิทธิภาพในการทำงานระยะยาว

 

หลายองค์จึงควรระวังกับการ “ทำงานให้สุด แล้วหยุดที่ ICU” เพราะการโหมหนักย่อมไม่เกิดผลดีกับใคร และองค์กรสามารถออกแบบนโยบายเพื่อป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้นจากการทำงานได้ โดยในบทความนี้จะชวนมาทำความเข้าใจและสิ่งที่องค์กรสามารถทำได้เพื่อป้องกัน10 โรคที่เกิดจากการทำงาน ซึ่งเป็นโรคยอดฮิตที่ไม่ควรมองข้าม

 

 

1. โรคออฟฟิศซินโดรม

 

โรคออฟฟิศซินโดรมคืออะไร

 

ปัจจุบันหลายคนน่าจะคุ้นหูกันดีกับออฟฟิศซินโดรมไม่น้อย ออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) เนื่องจากใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบ และปวดเมื่อยตามคอ หลัง บ่า ไหล่ แขน หรือข้อมือ ซึ่งหากทิ้งไว้นาน จะรักษาได้ยากขึ้นและกลายเป็นการปวดเรื้อรัง

 

 พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

เนื่องจากออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ พฤติกรรมที่ทำให้หลายคนเกิดโรคจึงเป็นการนั่งท่าเดิมนานๆ ไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกเดินไปไหนมาไหน ซึ่งส่งผลต่อความเกร็งและทำให้กล้ามเนื้ออักเสบในที่สุด

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– เกิดการปวดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน

 

– มีอาการปวดวิงเวียนศีรษะเรื้อรัง 

 

– ปวดหลัง 

 

– มีอาการปวดหรือเกิดเหน็บชาบริเวณขาลงมา 

 

– ตาล้าพร่ามัว

 

– มีอาการมือชา นิ้วล็อก และปวดข้อมือ

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ออกแบบสถานที่ทำงานให้เหมาะสม ด้วยการอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับโต๊ะหรือเก้าอี้ Ergonomics

 

– ให้บริการห้องออกกำลังกาย หรือจัดโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมให้แก่พนักงาน

 

– จัดมุมพักผ่อนให้พนักงานสามารถลุกและขยับร่างกายได้ อาจเสริมบริการนวดตัว หรือเก้าอี้นวด เพื่อทำให้กล้ามเนื้อไม่เกร็งจากการทำงาน 

 

2. โรคไมเกรน

 

โรคไมเกรนคืออะไร

 

ไมเกรน อีกหนึ่งโรคยอดฮิตที่เรามักได้ยินจากคนทำงาน โดยเป็นอาการปวดศีรษะเรื้อรังที่มักจะปวดศีรษะแบบตุบๆ ซึ่งอาจเป็นข้างเดียว หรือสองข้างก็ได้ ไมเกรนมักจะเกิดขึ้นในยามที่คนทำงานรู้สึกเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังใช้ร่างกายหนักเกินไป

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

วิถีชีวิตที่ส่งผลกับการเกิดโรคไมเกรนคือการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ กินอาหารไม่ตรงเวลา มีความเครียดสูงบ่อยครั้ง รวมไปถึงคนที่ชอบทานกาแฟหรือชาที่มีคาเฟอีนสูงมากเกินไป ก็ส่งผลให้เกิดไมเกรนได้ทั้งสิ้น

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– มักปวดหัวข้างเดียวเป็นประจำ โดยอาจเป็นข้างซ้ายหรือข้างขวาสลับกัน (แต่บางคนก็มักปวดทั้งสองข้าง)

 

– ลักษณะการปวดจะเป็นจังหวะเหมือนเส้นเลือดกำลังดัน หรือที่คุ้นชินกับคำว่าปวดหัวตุบๆ 

 

– อาการปวดหัวมักเกิดบริเวณบริเวณขมับ อาจปวดร้าวมาถึงกระบอกตาและท้ายทอย

 

– อาการปวดจะค่อนข้างเรื้อรัง เกิดขึ้นเป็นเวลานานหลายชั่วโมง หรือทั้งวัน

 

– ในกรณีที่เป็นไมเกรนเรื้อรังและรุนแรง จะกระทบไปถึงวิถีชีวิต ไม่สามารถนั่ง เดิน หรือขึ้น-ลงบันไดได้ แต่อาการจะดีขึ้นหากได้นอนนิ่งๆ ในห้องที่เงียบสงบ และเย็นสบาย ไม่มีแสงรบกวน

 

– บางคนอาจเจออาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ตาไม่สู้แสง ทนเสียงดังไม่ได้ เป็นต้น

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– จัดตารางเวลาทำงานให้เหมาะสม คอยเช็กความรู้สึกและสถานการณ์ที่จะช่วยให้พนักงานไม่กดดันและต้องทำงานหนักเกินไป

 

– มีการติดตามและวิเคราะห์สุขภาพพนักงานอยู่เสมอ โดยอาจใช้ผ่านแอปพลิเคชัน เช่น SAKID

 

– จัดสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้มีแสงสว่างที่พอดี มีบรรยากาศที่ไม่ตึงเครียดเกินไป

 

3. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

 

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คืออะไร

 

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ นอกจากนี้ยังเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมเช่น การกลั้นปัสสาวะ และการทำความสะอาดทวารหนักก่อนทำความสะอาดอวัยวะเพศ ซึ่งส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ง่ายขึ้น

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

สำหรับพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คือการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานติดต่อกัน รวมไปถึงการทำความสะอาดทวารหนักก่อนทำความสะอาดอวัยวะเพศ การใช้ยาปฏิชีวนะสวนล้างทำความสะอาดช่องคลอด รวมไปถึงการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– ปัสสาวะกะปริบกะปรอยบ่อยครั้ง

 

– ปัสสาวะแสบขัด  ปัสสาวะสีขุ่น หรืออาจมีเลือดปนมากับปัสสาวะ

 

– รู้สึกถ่ายปัสสาวะไม่สุด

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ออกแบบสถานที่ทำงานให้เข้าถึงห้องน้ำได้ง่าย และมีความสะอาด 

 

– ไม่กดดันพนักงานให้ต้องนั่งทำงานอยู่กับที่ แต่สร้างความสบายใจให้สามารถมีอิสระในการลุกไปเข้าห้องน้ำ

 

– จัดเตรียมน้ำสะอาดให้พนักงาน

 

– มอบสวัสดิการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้พนักงานสามารถตรวจเช็กโรคได้ทันเวลา

 

 

4. โรค CVS (Computer Vision Syndrome)

 

โรค CVS คืออะไร

 

โรค CVS (Computer Vision Syndrome) เป็นกลุ่มอาการทางตาที่เกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หากใช้อย่างต่อเนื่องจะยิ่งส่งผลกระทบร้ายแรง โดยผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ต่อเนื่องมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน จะมีอาการ CVS เกิดขึ้นได้เกือบ 90 %

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

สำหรับคนทำงานออฟฟิศที่ต้องจ้องจอคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงการอ่านเอกสารที่มีตัวอักษรเล็กๆ เป็นเวลานานเป็นพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดโรค CVS ได้ นอกจากนี้สภาพแวดล้อมยังส่งผลต่อการเกิดโรค ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ในสถานที่ที่แสงสว่างไม่เพียงพอ การจัดวางโต๊ะทำงานที่ทำให้มองจอในระยะที่ไม่เหมาะสม รวมไปถึงท่านั่งทำงานด้วยเช่นกัน

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– ปวดเมื่อยตา ปวดกระบอกตา

 

– ตาแห้ง แสบตา เคืองตา

 

– ตาพร่ามัว โฟกัสได้ช้าลง

 

– ตาสู้แสงไม่ได้ ไม่สามารถมองแสงจ้าได้

 

– มีอาการปวดศีรษะ บางครั้งอาจมีอาการปวดหลัง ไหล่ หรือต้นคอร่วมด้วย

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

–  ออกแบบการวางโต๊ะทำงานและเก้าอี้ ให้เหมาะสมกับการทำงาน

 

สร้างสภาพแวดล้อมที่มีแสงสว่างอย่างเพียงพอ มีต้นไม้ในออฟฟิศเพื่อให้พนักงานสามารถพักผ่อนสายตาได้

 

– มีการแจ้งเตือนหรือสะกิดให้พนักงานได้พักสายตาจากจอคอมหรืองานที่ทำ อาจเป็นการใช้แอปพลิเคชันในการอำนวยความสะดวก

 

5. โรคเครียด

 

โรคเครียดคืออะไร

 

โรคเครียด (Adjustment Disorder) หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ ภาวะการปรับตัวผิดปกติ เป็นโรคที่เกิดจากการพบเจอภาวะกดดันมากเกินไป จนไม่สามารถปรับตัวได้ ส่งผลให้เกิดความทุกข์ทรมานในการดำเนินชีวิต และการทำงาน โดยจะมีอาการนานไม่เกิน 6 เดือน และเป็นกลุ่มโรคทางจิตเวชที่สามารถรักษาให้หายได้

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

โรคเครียดเป็นโรคที่เกิดเผชิญจากปัจจัยทั้งภายใน เช่น โรคประจำตัว สารเคมีในสมองที่ไม่สมดุล พัฒนาการตามวัย และปัจจัยภายนอกเช่น การทะเลาะเบาะแว้ง ความกดดันจากที่ทำงาน การสูญเสีย สุขภาพที่เจ็บป่วยเป็นเวลานาน การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดโรคเครียดได้ หากพบเจอซ้ำๆ

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– เห็นภาพเหตุการณ์ร้ายแรงซ้ำๆ ฝันร้าย

 

– อารมณ์ขุ่นมัว ทุกข์ใจ ไม่ร่าเริงแจ่มใส

 

– เกิดความหลงลืมมึนงง รู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง

 

– หลีกเลี่ยงการเข้าสังคม

 

– นอนหลับยาก 

 

– ไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ออกแบบสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้มีความผ่อนคลาย มีสีสัน หรือเพิ่มต้นไม้และของตกแต่งเพื่อให้มีพื้นที่พักผ่อนใจ

 

– ติดตามและถามไถ่สภาพจิตใจของพนักงาน โดยอาจทำงานผ่าน HR หรือใช้แอปพลิเคชันช่วยบันทึกกิจกรรมประจำวันบนปฏิทินความสุข ที่จะทำให้ได้เห็นความรู้สึกของพนักงาน

 

– ออกแบบสวัสดิการที่เหมาะสม เพื่อให้พนักงานไม่ต้องกังวลถึงคุณภาพชีวิตที่ดี

 

– ให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการออกแบบวิถีการทำงานที่เหมาะสมกับแต่ละคน

 

6. โรคหัวใจ

 

โรคหัวใจคืออะไร

 

โรคหัวใจ (Heart Disease) คือโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับการทำงานของหัวใจ โดยความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างกันไป เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ  โรคลิ้นหัวใจ และอื่นๆ

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

โรคหัวใจเกิดได้จากหลากหลายพฤติกรรม ทั้งพันธุกรรม หรือวิถีชีวิตเช่น การกินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง การไม่ได้ออกกำลังกาย การอยู่กับจอคอมตลอดเวลาจนไม่ค่อยได้ขยับตัว รวมไปถึงความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจเช่นกัน นอกจากนี้ยังเกิดจากการสูบบุหรี่หนัก หรือดื่มแอลกอฮอล์มากจนเกินไป

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง

 

– หายใจเข้าลำบาก 

 

– เจ็บหน้าอกหรือแน่นบริเวณกลางอก

 

– หายใจหอบ บางครั้งอาจเกิดขึ้นยามที่นอนหลับแล้ว

 

– เป็นลมหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ

 

– ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ 

 

– ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีสีเขียวคล้ำ

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ให้บริการห้องออกกำลังกาย หรือจัดโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมให้แก่พนักงาน

 

– มอบสวัสดิการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้พนักงานสามารถตรวจเช็กโรคได้ทันเวลา

 

– มอบสวัสดิการโรงอาหารที่คำนวณโภชนาการให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

 

7. โรคอ้วน

 

โรคอ้วนคืออะไร

 

โรคอ้วน คือโรคที่เกิดจากการมีปริมาณไขมันในร่างกายที่มากเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิต 

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

สำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด หรือทานอาหารที่มีความหวานมากเกินไป เช่น ชานมต่างๆ อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้มาก และหากรับประทานโดยไม่ได้ออกกำลังกาย ยิ่งทำให้ร่างกายสะสมไขมันไว้ และก่อให้เกิดโรคอ้วนที่เป็นต้นเหตุของโรคอื่นๆ ที่ตามมา

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– ดัชนีมวลกายหรือ BMI สูงถึง 30

 

– มีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต

 

– มีอาการปวดหลัง ข้อเข่าเสื่อม

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ให้บริการห้องออกกำลังกาย หรือจัดโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมให้แก่พนักงาน

 

– มอบสวัสดิการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้พนักงานสามารถตรวจเช็กโรคได้ทันเวลา

 

– มอบสวัสดิการโรงอาหารที่คำนวณโภชนาการให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

– มีการติดตามพฤติกรรมสุขภาพพนักงานผ่านแบบสอบถาม หรือแอปพลิเคชัน เช่น SAKID ที่ช่วยเป็นโค้ชในการดูแลสุขภาพได้

 

8. โรคกรดไหลย้อน

 

โรคกรดไหลย้อนคืออะไร

 

โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease : GERD ) คือโรคที่เกิดจากภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอก รวมไปถึงอาการขย้อน หรือคลื่นไส้ที่อาจส่งผลต่อวิถีชีวิต

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

พฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดโรคกรดไหลย้อน ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น การกินอาหารไม่ตรงเวลา การกินอาหารแล้วเอนตัวนอนทันที รวมไปถึงการทานอาหารมากเกินไปติดต่อกันหลายครั้ง นอกจากนี้คนที่สูบบุหรี่ ดื่มน้ำอัดลมหรือแอลกอฮอล์ ก็มีโอกาสเป็นโรคกรดไหลย้อนได้ รวมไปถึงคนที่มีความเครียดสูงก็ส่งผลต่อการเป็นโรคกรดไหลย้อนเช่นกัน

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– มีอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอก หลังรับประทานอาหารมื้อใหญ่ 

 

– มีน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก

 

– ท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียนหลังรับประทานอาหาร

 

– เจ็บหน้าอก รู้สึกจุกคล้ายมีอะไรติดหรือขวางอยู่บริเวณคอ

 

– หืดหอบ ไอแห้ง เสียงแหบ เจ็บคอ

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ให้บริการห้องออกกำลังกาย หรือจัดโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมให้แก่พนักงาน

 

– มอบสวัสดิการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้พนักงานสามารถตรวจเช็กโรคได้ทันเวลา

 

– มอบสวัสดิการโรงอาหารที่คำนวณโภชนาการให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

– ออกแบบสภาพแวดล้อมให้ได้มีพื้นที่เดินย่อยอาหารก่อนกลับไปนั่งทำงาน หลังทานอาหารกลางวันเสร็จ

 

9. โรคเบาหวาน

 

โรคเบาหวานคืออะไร

 

โรคเบาหวาน (Diabetes) คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนที่ชื่อว่า อินซูลิน (Insulin) ซึ่งร่างกายของเราจำเป็นต้องพึ่งพาอินซูลินในการนำน้ำตาลในกระแสเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย แต่เมื่อเกิดความผิดปกติกับฮอร์โมนชนิดนี้ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ทำให้มีปริมาณน้ำตาลค้างในเลือดมากกว่าปกติ

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

ส่วนใหญ่แล้วโรคเบาหวานเกิดจากพฤติกรรมที่มักละเลยการออกกำลังกาย การทานอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ ทานหวานเกินไป รวมไปถึงความเครียดก็ส่งผลต่อการเป็นโรคเบาหวานเช่นกัน นอกจากนี้เบาหวานยังเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ส่งต่อกับในครอบครัวได้

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– ปัสสาวะบ่อย ตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืน

 

– หิวน้ำบ่อย

 

– หิวบ่อย รับประทานจุ แต่น้ำหนักลด

 

– ผิวแห้ง

 

– เป็นแผลแล้วหายยาก

 

– ตาพร่ามัว

 

– ชาบริเวณปลายมือปลายเท้า

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ให้บริการห้องออกกำลังกาย หรือจัดโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมให้แก่พนักงาน

 

– มอบสวัสดิการด้านสุขภาพ เช่น ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้พนักงานสามารถตรวจเช็กโรคได้ทันเวลา

 

– มอบสวัสดิการโรงอาหารที่คำนวณโภชนาการให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

– อำนวยความสะดวกในการช่วยวิเคราะห์สุขภาพ การกินอาหาร การออกกำลังกายและความสุขส่วนบุคคล ผ่านแอปพลิเคชัน SAKID

 

10. ต้อหิน ตาพร่ามัว

 

โรคต้อหิน ตาพร่ามัวคืออะไร

 

โรคต้อหิน คือ โรคที่เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างการใช้สายตา และปริมาณเม็ดเลือดแดงที่เข้ามาเลี้ยงเซลล์ประสาทภายในลูกตาทำให้เซลล์ประสาทตาได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ จนส่งผลให้เซลล์ค่อยๆ ตายลง และการมองเห็นค่อยๆ ย่ำแย่ลงจนอาจตาบอดได้ในที่สุด

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

สำหรับคนทำงานที่ทักจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อหิน ตาพร่ามัวได้มากกว่าคนอื่น นอกจากนี้ในบุคคลที่ต้องทำงานกับที่ที่มีแสงสว่างจ้าเกินไปตลอดเวลาก็มีความเสี่ยงเช่นกัน รวมไปถึงพฤติกรรมเช่น ทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ จนทำให้ร่างกายขาดวิตามินบำรุงสายตา 

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– ตาพร่า ตามัว เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เห็นภาพเบลอซ้อน หรือตามืดบอดชั่วขณะหนึ่ง

 

– เห็นจุดแสง ดำ-ขาว เต็มไปหมด เมื่อมองไปกลางแดด ตาสู้แสงไม่ได้

 

– ปวดในเบ้าตาลึกๆ และปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน

 

– ตรวจพบว่าสายตาสั้นขึ้นมาทันที และค่าสายตาขึ้นๆ ลงๆ

 

– สังเกตพื้นที่ต่างระดับ เวลาก้าวเดิน หรือเวลาขึ้นลงบันไดได้ยากลำบากขึ้น

 

– เห็นสีจืดจางลง เห็นตัวหนังสือเลือนรางขึ้น

 

– มองในที่มืดแย่ลง

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ออกแบบสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้มีแสงสว่างที่ดีพอดีและเพียงพอต่อการทำงาน

 

– จัดสรรเวลาทำงานให้พนักงานได้มีเวลาพักและละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์

 

– มอบสวัสดิการตรวจสุขภาพประจำปีที่ครอบคลุมกับการตรวจสุขภาพสายตา

 

– มอบสวัสดิการโรงอาหารที่คำนวณโภชนาการให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

สรุป

 

เพราะ ‘คนทำงาน’ นับเป็นทรัพยาการและสินทรัพย์ที่มีคุณค่าแก่องค์กรอย่างสูงสุด การดูแลให้พนักงานได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพแข็งแรง และห่างไกลโรค นอกจากจะเป็นการช่วยดูแลกันและกัน ยังเป็นการรักษาประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กรด้วยเช่นกัน 

 

10 โรคที่เกิดจากการทำงานเหล่านี้ จึงเป็นภัยเงียบที่องค์กรต้องช่วยกันดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น โดยอาจเลือกผู้ช่วยในการวิเคราะห์และเป็นโค้ชในการดูแลสุขภาพ เช่นแอปพลิเคชัน SAKID ที่มีทั้งโปรแกรมดูแลสุขภาพพนักงาน รายงานวิเคราะห์และติดตามผล รวมไปถึงการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจ ที่จะเป็นการดูแลพนักงานได้อย่างรอบด้านและครอบคลุมในแอปฯ เดียว

บทความที่น่าสนใจ

Sakid thumbnail -productivity

7 เคล็ดลับง่าย ๆ เพิ่ม Productivity ให้ปัง ทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว

คุณเคยรู้สึกไหมว่า ทำไมเพื่อนร่วมงานบางคนถึงได้ดูเก่งและประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว แถมยังมีเวลาไปเที่ยว ไปช็อปปิ้ง ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ได้อีก คุณอยากรู้ไหมว่าพวกเขามีเคล็ดลับอะไรในการเพิ่ม Productivity ให้ชีวิตปังขนาดนั้น?

อ่านต่อ »
Cover-Burn-out-sakid

WORKSHOP BURN OUT

กิจกรรม “ภาวะหมดไฟ กับสิ่งต่างๆ”

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 SAKID  ได้จัดกิจกรรม Workshop  “Burn Out”  ให้กับธนาคาร UOB โดยนักจิตวิทยา ผู้เข้าฟังจะได้ทำการสำรวจตัวเองว่าอาการนี้เรียกว่า หมดไฟ หรือเปล่า และสามารถจัดการกับความรู้สึกได้อย่างไร การจัดการความเครียดจากการทำงานเพื่อไม่ให้กระทบกับสุขภาพใจ

อ่านต่อ »
Cover WS สุขภาพดีกับสะกิด

WORKSHOP เริ่มต้นสุขภาพดี กับ SAKID

กิจกรรม  Workshop “คลาสโยคะ”

ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม  2566 – 21 กันยายน 2566  SAKID  ได้จัดกิจกรรม Workshop “คลาสโยคะ ” กันทุกสัปดาห์เป็นสวัสดิการที่เสริมสร้างร่างกายให้แข้งแรง โดยนักวิทยาศาสตร์การกีฬามาเป็นครูสอนโยคะที่จะพาพนักงานบริษัท ROCHE มายืดเหยียดร่างกายให้ผ่อนคลายเมื่อยจากการนั่งทำงานและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่นอีกด้วย

อ่านต่อ »
template our workshop success-Lbeauty

แข่งขันลดน้ำหนักด้วย SAKID กับโครงการ Lbeauty Fit Challenge

สำหรับกิจกรรม Lbeauty Fit Challenge ที่แข่งขันลดน้ำหนักกับ SAKID application ตลอดระยะเวลา พ.ค. – ก.ค. 67 โดยมีการออกแบบภารกิจสุขภาพทั้งอาหาร และออกกำลังกายให้เหมาะสม พร้อมด้วยโค้ชนักกำหนดอาหารวิชาชีพดูแลเป็นรายบุคคลในการปรับการกิน จนทำให้การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักลดลงถึง 4%  และรอบเอวลดลงถึง 6 %

อ่านต่อ »
Sakid thumbnail -วางงบจัดกิจกรรม

How to วางงบจัดกิจกรรม บริษัท องค์กร ให้คุ้มค่าและได้ผลลัพธ์สุดปัง

ในปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญการดูแลด้าน Well-being หรือสุขภาวะที่ดีของพนักงาน เพราะเล็งเห็นว่าพนักงานเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร ในการดำเนินกิจกรรมให้เป็นไปตามเป้าหมายขององค์กร หากพนักงานมีความสุขก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน และมีความผูกพันต่อองค์กร แต่ทราบหรือไม่ว่านอกจากนี้ยังสามารถขอรับรองมาตรฐานที่เกี่ยวข้องได้หลายมาตรฐาน ซึ่งทำให้มั่นใจว่ากิจกรรมด้าน Well-being ที่จัดให้พนักงานมีความครบถ้วนหรือไม่ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด และหากองค์กรได้รับรางวัลมาตรฐานเหล่านี้ ยังเป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่องค์กร สร้างภาพลักษณ์ต่อผู้เกี่ยวข้องทั้งพนักงาน ลูกค้า และบุคคลภายนอกในการเป็นองค์ที่มีความใส่ใจพนักงาน

อ่านต่อ »
Aot-workshop-SAKID

WORKSHOP ดูแลสุขภาพการกิน กับ SAKID

กิจกรรม  ดูแลสุขภาพการกิน กับ SAKID

วันที่ 9 พฤษภาคม  2567 SAKID  ได้จัดกิจกรรม ดูแลสุขภาพการกิน กับ SAKID ที่สำนักงาน AOT โดยได้ไปออกบูธให้เล่นเกมทายแคลอรี่ในอาหารพร้อมแจกสายวัดรอบเอวน้องสะกิด และได้ให้คำแนะนำด้านโภชนาการส่วนบุคคล โดยการให้ความรู้ในการเลือกกินอาหารในแต่ละมื้อและการจัดสมดุลการกินให้เหมาะสมกับร่างกายตัวเอง

อ่านต่อ »