Employee Engagement เทคนิคสานสัมพันธ์ของพนักงานและองค์กร
- 18/08/22
สำหรับในยุคนี้ การมัดใจพนักงานรุ่นใหม่ ๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายเป็นอย่างมากสำหรับ HR และผู้บริหารในองค์กรต่าง ๆ ที่จะทำให้พนักงานที่มีคุณภาพยังคงอยู่กับเราต่อ จึงทำให้มีการคิดค้นเทคนิคและกลยุทธ์ต่าง ๆ ออกมามากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Employee Engagement อันเป็นเทคนิคที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในยุคปัจจุบัน จนกลายมาเป็นอีกหนึ่งเทคนิคสำคัญสำหรับองค์กรต่าง ๆ
รู้จักกับ Employee Engagement
ความหมายของ Employee Engagement เทคนิคสำคัญสำหรับองค์กรในยุคนี้
Employee Engagement นั้นสามารถแปลได้ในหลายความหมาย แต่โดยรวมแล้ว มันคือการทำให้พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วมกับองค์กร ทั้งในแง่ความรู้สึกที่อยากจะมีส่วนร่วม, มีความผูกพันกับตัวองค์กร ไปจนถึงการพร้อมที่จะให้ความร่วมมือต่าง ๆ กับองค์กรในทุก ๆ ด้านอย่างเต็มใจ ซึ่งนั่นจะนำมาสู่ความภักดีของพนักงานต่อองค์กรได้ในที่สุด
หัวใจสำคัญของเทคนิคสานสัมพันธ์ของพนักงานและองค์กร
หัวใจสำคัญของ Employee Engagement ที่จะนำความรู้สึกผูกผันต่องานและองค์กรมาสร้างเป็นพฤติกรรมเชิงบวกมีอยู่ 3 อย่างหลัก ๆ นั่นก็คือ
1.การพูด (Say)
เป็นการที่ตัวพนักงานนั้นพูดถึงองค์กร, งาน และเพื่อนร่วมงานของตนในทางบวก
2.การอยู่ (Stay)
เป็นความรู้สึกที่อยากจะอยู่ทำงานให้องค์กรเดิมต่อไป แม้ว่าจะได้รับข้อเสนอจากองค์กรอื่น
3.การพยายามสุดความสามารถ (Strive)
เป็นการทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ คอยคิดค้นหรือริเริ่มไอเดียใหม่ ๆ ออกมาอยู่เสมอ และพร้อมที่จะทำงานเกินความคาดหวังเพื่อให้งานออกมาประสบความสำเร็จ
5 สิ่งสำคัญ สำหรับพนักงานองค์กรในยุคใหม่
สำหรับพนักงานองค์กรในยุคใหม่ ๆ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าปัจจัยต่าง ๆ นั้นส่งผลกับการชีวิตทำงานของพวกเขาเป็นอย่างมาก ฉะนั้นแล้ว ผู้บริหารและ HR จึงจำเป็นจะต้องใส่ใจกับปัจจัยเหล่านี้ เพื่อพนักงานนั้นรู้สึกได้รับความสำคัญ จนนำไปสู่ความจงรักภักดีกับองค์กรนั่นเอง
1.Leisure & Family
คือการได้มีเวลาว่างส่วนตัวที่จะทำในสิ่งต่าง ๆ ที่เขาสนใจหรือต้องการ รวมไปถึงการมีเวลาให้ครอบครัวของตนเองอย่างเหมาะสม และมีความสมดุลระหว่างชีวิตของเขาและการทำงานอีกด้วย
2.Wealth
คือการมีรายได้ที่มั่นคงและเหมาะสมกับงานที่ทำอยู่ ซึ่งเหมาะสมกับระดับความสามารถของตัวเขาเอง และไม่น้อยกว่าเป้าที่พนักงานคนนั้น ๆ คาดหวังเอาไว้
3.Corporate Title
คือการได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นในองค์กรที่เขาทำงานอยู่ และมีโอกาสที่จะก้าวหน้าในสายงานที่ทำอยู่นี้
4.Skill Champion
คือการได้รับโอกาสในการพัฒนาทักษะเฉพาะทางต่าง ๆ ที่เจ้าตัวหวังเอาไว้ จนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางนั้น ๆ
5.Belonging
คือการมีสังคมกับเพื่อน ๆ ที่ทำงานด้วย หรือการมีส่วนร่วมเป็นหมู่คณะกับคนในองค์กรที่ทำงานอยู่
6 วิธีสร้าง Employee Engagement ในยุคปัจจุบัน
และด้วยการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างในยุคปัจจุบัน เพื่อรับมือกับสถานการณ์ COVID-19 ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ การสร้าง Employee Engagement จึงจำเป็นจะต้องมีการปรับเปลี่ยนในหลาย ๆ ส่วน เพื่อให้สามารถสร้างความผูกพันและจงรักภักดีของพนักงานให้กับตัวองค์กรได้ดังเดิม
1.เชื่อมต่อการสื่อสารผ่านเทคโนโลยี
การนำเทคโนโลยีการสื่อสารเข้ามาใช้ในการทำงาน ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับการทำงานในยุคนี้ที่เน้นการ Work from Home กันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการประชุมผ่านทางโปรแกรม Zoom, Asana และ Slack หรือโปรแกรมอื่น ๆ เนื่องจากการสื่อสารแบบเห็นหน้ากัน จะช่วยทำให้ให้พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วมกันมากยิ่งขึ้น ในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับการทำงานที่ออฟฟิศ
รวมไปถึง การส่งเสริมให้พนักงานใช้ระบบคลาวด์ในการแชร์ไฟล์ เพื่อทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพในระยะยาว ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้เช่นกัน
2.แสดงให้พนักงานเห็นถึงความใส่ใจ
การอนุญาตให้พนักงานสร้างสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิตส่วนตัว ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่องค์กรควรจะทำ ด้วยการเคารพเวลาส่วนตัวของพวกเขา จากการกำหนดขอบเขตเวลาทำงาน, ปริมาณงานที่ได้รับมอบหมาย และความคาดหวังด้านประสิทธิภาพการทำงานที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ควรหาเวลาพูดคุยกับพนักงานเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว, งานอดิเรก, ความเครียด และสุขภาพจิตหรืออารมณ์ ตลอดจนภาระงานต่าง ๆ เพื่อช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงจากความเครียดและความเบื่อหน่ายได้
3.สอบถามและรับฟังความคิดเห็น
ปัญหาในการทำงานของพนักงานคืออีกหนึ่งสิ่งที่องค์กรสามารถพลาดกันได้ง่าย การจัดทำแบบสอบถามออนไลน์เพื่อสำรวจความคิดเห็น และรับฟังปัญหาจากพนักงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ
รวมทั้งควรแจ้งให้พนักงานได้ทราบว่าองค์จะดำเนินการ หรือไม่ดำเนินการตามความคิดเห็นของพวกเขาเพราะเหตุใด เพื่อให้พนักงานรับรู้ว่าความคิดเห็นของพวกเขาไม่ถูกมองข้าม และได้รับการพิจารณาด้วยความใส่ใจ เมื่อพนักงานรู้สึกมีคุณค่าก็จะส่งผลให้มีความสุข และอยากมีส่วนร่วมในการทำงานกับองค์กรมากยิ่งขึ้น
4.ชื่นชมความสำเร็จของพนักงาน
ในยุค Work from Home แบบนี้ พนักงานหลายคนทุ่มเททำงานเกินเวลามากกว่าตอนเข้าออฟฟิศ แต่บ่อยครั้งพวกเขาพบว่าผลสำเร็จจากความทุ่มเทเหล่านั้นไม่มีใครมองเห็น
ทางออกหนึ่งที่องค์กรสามารถทำได้ คือ การให้ความสำคัญกับการยกย่องพนักงานที่ทำงานได้ดีแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกัน เช่น การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่พนักงานทุกคนสามารถเข้ามาแสดงความคิดเห็น และชื่นชมเพื่อนร่วมงานทุกระดับได้แบบเรียลไทม์ เพราะการได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน และผู้จัดการเป็นประจำจะช่วยให้พนักงานมีกำลังใจ และมองเห็นคุณค่าในตนเอง
5.มอบเครื่องมือให้พนักงานพร้อมทำงาน
การจัดเตรียมเครื่องมือและการฝึกอบรมที่จำเป็นต่าง ๆ ให้พนักงานรู้สึกมั่นใจ และมีพลังในการทำงานอย่างเต็มที่ คืออีกหนึ่งกุญแจสำคัญในการปรับปรุงการมีส่วนร่วมและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมทั้งเป็นหนึ่งในสวัสดิการที่บริษัทควรจัดเตรียมให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานใหม่หรือพนักงานเก่าก็ตาม
ทั้งนี้ เครื่องมือ และสิ่งอำนวยความสะดวกดังกล่าว ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความต้องการด้านฮาร์ดแวร์ หรือซอฟต์แวร์เท่านั้น แต่อาจรวมถึงค่าเช่า Co-Working Space สำหรับพนักงานที่มีข้อจำกัดในการทำงานที่บ้านได้ไม่สะดวก หรือแม้แต่การสนับสนุนค่าเรียนคอร์สออนไลน์ต่าง ๆ ที่จะช่วยพัฒนาทักษะให้กับพนักงานได้ดียิ่งขึ้น
6.ให้ความยืดหยุ่นในการทำงาน
ในกรณีของการ Work from Home แม้ว่าบริษัทอาจจำเป็นต้องกำหนดตารางเวลาที่แน่นอนสำหรับการประชุมทีม และทำงานร่วมกัน แต่อย่าลืมเปิดโอกาสให้พนักงานได้วางแผนการทำงานในช่วงเวลาที่เหลืออย่างอิสระด้วย ซึ่งวิธีนี้ นอกจากจะช่วยให้พนักงานสามารถสร้างสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัว และการทำงานได้ดีขึ้นแล้ว ยังได้ลองพัฒนาวิธีการทำงานที่เหมาะสมกับตนเอง เพื่อทำผลงานออกมาให้ดีที่สุดอีกด้วย
สรุป
จะเห็นได้ว่า Employee Engagement นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับองค์กรในยุคใหม่ ๆ ที่ต้องการรักษาพนักงานที่สำคัญของตนเองเอาไว้ ซึ่งจากงานวิจัยของ MIT พบว่าองค์กรที่มี Employee Engagement ที่ดี จะทำให้พนักงานพร้อมสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และจะสร้างความพึงพอใจของลูกค้าให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า
แต่นอกจาก Employee Engagement ที่ดีจะช่วยทำให้องค์กรเติบโตแล้ว การมีการจัดการดูแลสุขภาพของพนักงานในองค์กรเอง ก็จะช่วยทำให้องค์กรยั่งยืนด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับแอพพลิเคชั่น SAKID ของเรา ที่เป็นนวัตกรรมดูแลสุขภาพพนักงานแบบองค์รวมครอบคลุม 4 มิติ ได้แก่ อาหาร, ออกกำลังกาย, อารมณ์ และสังคม เพื่อตอบโจทย์การดูแลพนักงาน และ การวิเคราะห์ข้อมูลของฝ่ายบุคคล รวมถึงผู้บริหารองค์กร ที่จะช่วยคุณดูแลสุขภาพของพนักงานได้อย่างครบครันในทุกมิติ
บทความที่น่าสนใจ
WORKSHOP เริ่มต้นสุขภาพดี กับ SAKID
กิจกรรม Workshop “คลาสโยคะ”
ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2566 – 21 กันยายน 2566 SAKID ได้จัดกิจกรรม Workshop “คลาสโยคะ ” กันทุกสัปดาห์เป็นสวัสดิการที่เสริมสร้างร่างกายให้แข้งแรง โดยนักวิทยาศาสตร์การกีฬามาเป็นครูสอนโยคะที่จะพาพนักงานบริษัท ROCHE มายืดเหยียดร่างกายให้ผ่อนคลายเมื่อยจากการนั่งทำงานและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่นอีกด้วย
Happinometer เครื่องมือวัดความสุขได้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง
หลายต่อหลายครั้งที่เราทำงานไปเรื่อย ๆ แล้วเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว ชวนมาทำแบบประเมินวัดความสุขกับ Happinometer กัน โดยแบบประเมินนี้เหมาะกับคนทำงาน
จัด Workshop อย่างไร ให้โดนใจ
การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยจุดเริ่มต้นที่สามารถทำได้คือการจัดอบรมเกี่ยวกับสุขภาพในด้านต่างๆการจัดอบรมจะช่วยปูพื้นความรู้การดูแลสุขภาพทั้งด้านกายและจิตให้กับพนักงาน ให้สามารถนำไปใช้ดูแลสุขภาพของตัวเองได้ โดยทีมผู้จัด สามารถเริ่มต้นทำได้
Work Life Balance คืออะไร ทำไมจึงสำคัญกับการทำงานยุคใหม่
Work Life Balance ไม่ใช่แค่ปัญหาของคนทำงานเท่านั้น เพราะบริษัทเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แล้วบริษัทจะจัดการปัญหานี้อย่างไร? เข้าใจผลกระทบพร้อมไอเดียแก้ปัญหา ที่นี่
WORKSHOP Cooking class เคบับ
กิจกรรม Cooking class เคบับ
วันที่ 6 สิงหาคม 2567 SAKID ได้จัดกิจกรรม Cooking class เคบับ ที่บริษัท CBRE โดยพนักงานได้เข้าร่วมจำนวน 40 คน ซึ่งนักกำหนดอาหารวิชาชีพ ได้เป็นผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบและมีทริคการดูแลสุขภาพด้านอาหารสำหรับชาวออฟฟิศให้เล่นเกมสุขภาพพร้อมรับของรางวัลกันอีกด้วย คลาสสอนทำเคบับ จะสอนให้ทุกคนทำซัลซาซอสจากมะเขือเทศสด แทนการใช้ซอสมะเขือเทศ การปรุงวัตถุดิบไก่และผักและการห่อม้วนแรป ทำกินเองอร่อยได้ง่ายๆ ที่บ้าน
WORKSHOP อาหารและหลักโภชนาการในการดูแลตัวเอง
กิจกรรม Workshop “อาหารและหลักโภชนาการในการดูแลตัวเอง”
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2566 SAKID ได้จัดกิจกรรม Workshop “อาหารและหลักโภชนาการในการดูแลตัวเอง” โดยนักกำหนดอาหารที่ให้ความรู้และความเข้าใจเรื่องการดูแลด้านอาหารการปรับใช้กับตัวเอง การอ่านผลเลือดเข้าใจแบบง่ายว่าเราต้องปรับพฤติกรรมด้านไหน รวมทริคสุขภาพดีด้วยการปรับมื้อนี้ให้สุขภาพมากขึ้น การตั้งเป้าหมาย Smart Goal ทำให้ได้จริง