สุขภาพจิต พนักงาน
URL Copied!

สุขภาพจิตพนักงาน ปัญหาซ่อนเร้นที่ต้องระวัง

วิถีการทำงานของพนักงานในยุคนี้ มีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียดสะสมและปัญหาสุขภาพจิตต่าง ๆ มากมาย ซึ่งปัญหาสุขภาพจิตพนักงานที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบทั้งต่อชีวิตส่วนตัวของพนักงานและชีวิตการทำงาน เป็นปัญหาซ่อนเร้นที่ในฐานะองค์กรหรือสถานที่ทำงานเองก็ไม่ควรมองข้าม

 

เมื่อทรัพยากรมนุษย์คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการทำงาน และในฐานะของกลุ่มคนที่ทำร่วมกันทำงานแล้ว องค์กรจะมีบทบาทช่วยเหลือพนักงานอย่างไรได้บ้าง มาทำความเข้าใจปัญหาและวิธีจัดการในบทความนี้

 

สุขภาพจิตพนักงาน ปัญหาที่ถูกละเลยมานาน

 

ปัญหาสุขภาพจิตเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล เป็นเรื่องของความรู้สึกและไม่ได้มีบาดแผลหรืออาการทางร่างกายที่แสดงออกโดยชัดเจน ด้วยเหตุนี้ ปัญหาสุขภาพจิตพนักงานจึงมักถูกมองข้ามไป 

 

อย่างไรก็ตาม จากสถิติที่ผ่านมา มีคนทำงานมากถึง 1 ใน 5 ที่ประสบปัญหาสุขภาพจิต และมีมากถึง 1 ใน 20 คนของคนวัยทำงานที่ต้องประสบกับปัญหาสุขภาพจิตขั้นรุนแรง ทั้งภาวะซึมเศร้า ภาวะอารมณ์สองขั้ว (Biporlar Disorder) ภาวะวิตกกังวล (Anxiety Disorders) ภาวะย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder) ภาวะหมดไฟ (Burnout) และอื่น ๆ นอกจากนี้ บริษัทประกันยังระบุว่า ความเสี่ยงทางอารมณ์หรือจิตใจเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายอันดับต้น ๆ ของแผนการรักษาพยาบาลที่บริษัทหรือนายจ้างจัดหาให้

 

แน่นอนว่า ปัญหาสุขภาพจิตที่พนักงานประสบส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของพนักงาน ทั้งนี้ ในมุมของธุรกิจหรือบริษัท สุขภาพจิตของพนักงานที่ย่ำแย่ก็ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการลางาน การเปลี่ยนงาน และยังทำให้ผลิตภาพหรือ Productivity ของบริษัทลดต่ำลง 

 

ปัญหาสุขภาพจิตที่ซ่อนเร้นในการทำงาน

 

ปัญหาสุขภาพจิตพนักงานที่อาจเกิดขึ้นในที่ทำงาน

 

ปัญหาสุขภาพจิตพนักงาน

ขอบคุณภาพจาก championhealth.co.uk

 

ความเหนื่อยและความเครียดจากการทำงานสามารถทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตต่าง ๆ ตามมา โดยสำรวจในปี 2022 พบข้อมูลที่น่าสนใจ ได้แก่ 

 

– 58% ของคนทำงานประสบกับภาวะวิตกกังวลอ่อน ๆ โดย 1 ใน 4 ได้รับการวินิจฉัยทางคลินิกว่ามีภาวะวิตกกังวล (Symtoms of anxiety)

 

– 52% ของคนทำงานประสบกับภาวะซึมเศร้าหรือ Depression เล็กน้อย โดยกว่า 1 ใน 5 ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะซึมเศร้า (Symptoms of depression) 

 

– 67% ของลูกค้ามีภาวะเครียดระดับปานกลางถึงเครียดจัด จากภาระงานที่หนักเกินไปและความเครียดในที่ทำงาน

 

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาสุขภาพจิตพนักงานอย่าง ภาวะหมดไฟหรือเบิร์นเอาต์ ที่เป็นอีกปัญหาสุขภาพจิตที่มีต้นตอสาเหตุจากสถานที่ทำงาน 

 

ปัจจัยในที่ทำงานที่อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตพนักงาน

 

สำหรับปัจจัยในที่ทำงานที่อาจส่งผลให้พนักงานเกิดปัญหาสุขภาพจิตต่าง ๆ ได้นั้น องค์การอนามัยโรค (WHO) ก็ได้ระบุปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ที่ทุกองค์กรควรให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น…

 

– ภาระงานที่หนักหนาเกินไป (Workloads)

 

– การขาดอำนาจในการจัดการงานอย่างอิสระ

 

– ระยะเวลาการทำงานที่ยาวนานเกินไป โดยที่ไม่มีการหยุดพัก

 

– ขอบเขตงานที่ไม่ชัดเจน

 

– การเหยียดเพศ เหยียดความสามารถ เหยียดเชื้อชาติ สถานบันการศึกษา

 

– ความรุนแรงทั้งจากการคุกคาม การข่มขู่ การรังแก

 

– ความรู้สึกโดดเดี่ยว แปลกแยกจากทีม

 

เมื่อสุขภาพจิตของพนักงานดีพร้อม ประโยชน์จะตกที่ทุกคน

 

เมื่อพนักงานมีสุขภาพจิตที่ดี พนักงานก็ย่อมมีแรงใจและแรงกายในการดูแลตัวเอง รวมไปถึงมีจิตใจที่พร้อมสำหรับการทำงาน ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานและการผลิตให้กับองค์กรอย่างไม่ต้องสงสัย 

 

– เพิ่มผลิตภาพหรือ Productivity ในการทำงานให้กับบริษัท

 

– ลดอัตราการเปลี่ยนงานหรือลาออก รักษาพนักงานเดิมได้นานขึ้น

 

– ลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง จากการขาดงาน การหาพนักงานใหม่

 

และเพื่อให้องค์กรตระหนักถึงผลกระทบของปัญหาสุขภาพจิตพนักงาน WHO ก็ได้ทำสำรวจและประเมินปัญหาสุขภาพจิตเป็นมูลค่า นั่นคือ ภาวะซึมเศร้าและภาวะวิตกกังวลของพนักงานทำให้ Productivity การทำงานลดลงเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ จากงานวิจัยเดียวกันก็ประเมินได้ว่า ทุก ๆ 1 ดอลลาร์สหรัฐที่องค์กรใช้กับการจัดการปัญหาสุขภาพจิตพนักงาน ช่วยให้ได้กำไรกลับมา 4 ดอลลาร์สหรัฐ 

 

เมื่อขยับแว่นมามองในระดับองค์กรแต่ละองค์กรแล้ว การส่งเสริมให้พนักงานมีสุขภาพจิตที่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ส่งผลดีต่อองค์กร แล้วบริษัทหรือองค์กรจะนโยบายเพื่อสนับสนุนสุขภาพจิตของพนักงานได้อย่างไรบ้าง?

 

บริษัทและองค์กรจะช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตพนักงานได้อย่างไร

 

 

จุดเริ่มต้นการส่งเสริมสุขภาพจิตพนักงานอย่างง่าย ๆ และเริ่มได้ทันทีผ่านการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร โดยเฉพาะในบทบาทของเจ้าของกิจการ หัวหน้างาน การทักทายและสอบถามเรื่องราวความเป็นไปในชีวิต หมั่นสังเกตและถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของพนักงานก็จะช่วยลดความตึงเครียด และเป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานกล้าที่จะปรึกษาปัญหามากขึ้น 

 

สำหรับแนวทางในการจัดการส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีในที่ทำงานอย่างจริงจัง ก็มีแนวทางมาฝาก 5 แนวทางเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ได้แก่ 

 

1. เข้าใจสถานการณ์ปัญหาสุขภาพจิตในองค์กร

 

เชื่อว่า ฝ่ายบุคคลหรือองค์กรใดก็ตามที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ คงตระหนักความสำคัญของปัญหาสุขภาพจิตพนักงานกันเบื้องต้นอยู่แล้ว ทั้งนี้ หากต้องการสำรวจภาวะสุขภาพจิตภายในองค์กร อาจเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการใช้แบบประเมินความเครียด (ST-5) หรือคำถามประเมินความเครียด 5 ประการ ได้แก่

 

1. มีปัญหาการนอน นอนไม่หลับหรือนอนมาก

 

2. มีสมาธิน้อยลง

 

3. หงุดหงิด / กระวนกระวาย / ว้าวุ่นใจ

 

4. รู้สึกเบื่อ / เซ็ง

 

5. ไม่อยากพบปะผู้คน 

 

หรือหากใช้โปรแกรมผู้ช่วย Employee Assistance Program (EAP) ที่เป็นแอปพลิเคชันคอยสอบถามอารมณ์ความรู้สึกของพนักงานในแต่ละวัน เพื่อประเมินความเครียดและปัญหาสุขภาพจิต พร้อมแจ้งเตือนปัญหาให้กับฝ่ายบุคคลหรือองค์กร

 

2. มีสวัสดิการที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพจิต

 

ทางที่บริษัทหรือองค์กรจะจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตได้โดยตรง ก็คือ การออกนโยบายและสวัสดิการสุขภาพที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตของพนักงานอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสามารถทำได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาสุขภาพจิต เงินช่วยค่ารักษาพยาบาล มีนักจิตวิทยาให้พนักงานปรึกษา มีโปรแกรมผู้ช่วยพนักงานที่ส่งเสริมสุขภาวะกายและใจ หรือจัดมุมพักผ่อน/มุมเล่นเกมคลายเครียดในออฟฟิศ

 

3. ใช้โปรแกรมผู้ช่วย Employee Assistance Program (EAP)

 

SAKID โปรแกรมผู้ช่วยพนักงาน ช่วยดูแลสุขภาพพนักงานอย่างครบองค์

 

ฟังก์ชันหลัก ๆ ของ SAKID โปรแกรมผู้ช่วยพนักงานหรือ Employee Assistance Program (EAP) คือ การนำมาดูแลสุขภาวะกายและใจของพนักงาน ส่งเสริมให้พนักงานมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น

 

– การสอบถามอารมณ์ความรู้สึกในแต่ละวัน 

 

– การ “สะกิด” ให้พนักงานออกกำลังกาย ลุกขึ้นไปดื่มน้ำ มอบหมายภารกิจให้เดิน ฯลฯ

 

– ช่วยประเมินความเสี่ยงสุขภาพด้านต่าง ๆ รายงานออกมาเป็น Report ให้องค์เห็นปัญหาอย่างชัดเจน

 

– มีฟีเจอร์ที่เชื่อมต่อกับนักจิตวิทยา นักควบคุมอาหาร และนักวิทยาศาสตร์การกีฬาให้พนักงานปรึกษา

 

ดูฟีเจอร์ของ SAKID ทั้งหมด ที่นี่

 

4. ส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา 

 

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คนทำงานมีความเครียดจนอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตต่าง ๆ คือ ความรู้สึกโดดเดี่ยว รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบหรือเผชิญปัญหาอยู่คนเดียว 

 

วิธีการจัดการกับปัญหาในข้อนี้ คือ “การสื่อสาร” องค์กรหรือหัวหน้างานควรหมั่นสอบถามความเป็นไปของงาน สอบถามถึงปัญหาและเสนอทางช่วยเหลือ หรือในปัจจุบัน บริษัท Startup หลายแหล่ง มักจัดเซสชันประชุมสั้น ๆ ที่เรียกว่า “Check-in” ขึ้นเพื่อพูดคุย สอบถามความเป็นไปต่าง ๆ ในทุก ๆ วันหรือสัปดาห์ละครั้ง หรือจัดเซสชันรับฟีดแบก-ปรึกษาปัญหาเดือนละครั้ง เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสาร 

 

5. ส่งเสริมการดูแลสุขภาพกายและใจ

 

บริษัทหรือองค์กรสามารถจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพแบบครบองค์ให้กับพนักงานได้ง่าย ๆ เริ่มจากกิจกรรมที่จัดได้เรื่อย ๆ ในออฟฟิศเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศหรือสร้างความสัมพันธ์ในองค์กร เช่น Company Dinner ปาร์ตี้เล็ก ๆ ทุกวันศุกร์ หรือกิจกรรมออกกำลังกาย/ทำกิจกรรมสนุก ๆ ประจำเดือน 

 

Sakid App

เกมภารกิจสะกิดสุขภาพส่วนตัวจาก SAKID นับจำนวนก้าวเดิน

 

หรือจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น

 

– กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพจิต เช่น อบรมสอนการหายใจ-การทำสมาธิ อบรมวิธีรับมือและจัดการอารมณ์ในชีวิตประจำวัน 

 

– กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพกาย เช่น กิจกรรมลดน้ำหนัก กิจกรรมออกกำลังกาย กิจกรรมพักเบรกยืดเหยียดร่างกาย

 

– มอบหมายภารกิจดูแลสุขภาพที่เน้นการสร้างพฤติกรรมจาก SAKID เช่น เกมภารกิจสะกิดสุขภาพส่วนตัว แข่งขันกับเพื่อนในทีมด้วย สะกิดแก๊ง เกมภารกิจปรับการทานอาหารเฉพาะบุคคล กิจกรรมสะสมคะแนนความสุขในทุกวัน ฯลฯ 

 

 

สรุป

 

เรื่องของสุขภาพจิตก็ไม่ได้มีความสำคัญน้อยไปกว่าเรื่องของสุขภาพกาย ในฐานะองค์กรหรือบริษัทเองก็ไม่ควรมองข้ามการส่งเสริมและสวัสดิการที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีให้กับพนักงาน ซึ่งในบทความนี้ ได้แชร์แนวทางสำหรับองค์กรไว้ ไม่ว่าจะเป็นการตระหนักถึงปัญหา สวัสดิการที่เกี่ยวข้อง โปรแกรมและไอเดียจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพจิตพนักงานต่าง ๆ 

 

หวังว่า บทความนี้หรือ SAKID จะสามารถช่วยให้คุณสามารถส่งเสริมสุขภาพกายและใจของพนักงานให้ดีขึ้นได้ 

บทความที่น่าสนใจ

Sakid thumbnail-หมด Passion ในการทำงาน

เมื่อพนักงานสูญเสีย Passion ในงาน: วิธีจุดประกายแรงบันดาลใจในที่ทำงานอีกครั้ง

โดยทั่วไปหมายถึงแรงผลักดันอย่างแรงกล้าที่ทำให้เรามุ่งมั่นและเต็มใจอุทิศตนให้กับกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งอย่างต่อเนื่องและทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ (Vallerand, 2015) โดย  Passion ในการทำงาน (Work passion) คือ สภาวะทางจิตใจที่บุคคลรู้สึกกระตือรือร้น ยินดี และเต็มใจที่จะอุทิศเวลา พลังกาย พลังใจ ให้กับการทำงาน จนรู้สึกว่างานเป็นส่วนหนึ่งที่มีคุณค่าในชีวิต (Vallerand et al., 2003) และในทางจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การแบ่ง passion ออกเป็น 2 ประเภท คือ harmonious passion และ obsessive passion

อ่านต่อ »
Cover-sakid-เขตราษฎร์บูรณะ

บูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิด ที่การไฟฟ้านครหลวง เขตราษฎร์บูรณะ

บูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิด ที่การไฟฟ้านครหลวง เขตเขตราษฎร์บูรณะ

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 Sakid ได้ออกบูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิดให้กับการไฟฟ้านครหลวง เขตเขตราษฎร์บูรณะ ในกิจกรรม Fun for Fit เพื่อแนะนำการเข้าร่วมโครงการ  “MEA เบิร์นเกินร้อย” เปิดศึกการแข่งกันระหว่างทีมเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี ด้วยการส่งภารกิจสุขภาพผ่านแอพสะกิด และลุ้นรับของรางวัลในแต่ละเดือน

อ่านต่อ »
Cover-Healthy Canteen-sakid

WORKSHOP Healthy Canteen

กิจกรรม  “อบรม พ่อครัว แม่ครัว ให้ทำอาหารสุขภาพมากขึ้น”

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2565  SAKID  ได้จัดกิจกรรม Workshop  “อบรม พ่อครัว แม่ครัว ให้ทำอาหารสุขภาพมากขึ้น”

อ่านต่อ »
Sakid thumbnail -productivity

7 เคล็ดลับง่าย ๆ เพิ่ม Productivity ให้ปัง ทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว

คุณเคยรู้สึกไหมว่า ทำไมเพื่อนร่วมงานบางคนถึงได้ดูเก่งและประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว แถมยังมีเวลาไปเที่ยว ไปช็อปปิ้ง ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ได้อีก คุณอยากรู้ไหมว่าพวกเขามีเคล็ดลับอะไรในการเพิ่ม Productivity ให้ชีวิตปังขนาดนั้น?

อ่านต่อ »

HRIS คืออะไร ทำไมถึงจำเป็นกับการบริหารทรัพยากรบุคคล

HRIS คืออุปกรณ์สำคัญในการช่วยทำให้ HR สามารถทำงานได้อย่างสะดวกขึ้น เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้สามารถตรวจเช็คข้อมูลพนักงานได้อย่างง่ายดาย แต่มันคืออะไรกันล่ะ

อ่านต่อ »
8 ทริคดื่มน้ำ-SAKID

8 ทริคดื่มน้ำให้ครบ 8 แก้ว

 การดื่มน้ำเป็นสิ่งที่หลายคนมักมองข้าม ทั้งๆ ที่น้ำคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำถึง 60% การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันไม่เพียงแค่ช่วยให้ทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น สมอง หัวใจ และกล้ามเนื้อ ทำงานได้อย่างปกติ แต่ยังช่วยให้เรารู้สึกสดชื่น ผิวฉ่ำ ปากชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน ในทางกลับกัน หากเราดื่มน้ำน้อยเกินไป อาจส่งผลให้ท้องผูก ปวดหัว สมองทำงานช้าลง เหนื่อยล้า โฟกัสกับการทำงานได้ลดลง ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง

อ่านต่อ »