“ดูแลสุขภาพพนักงาน” การสร้างสุขเบื้องต้นที่คุณไม่ควรมองข้าม
- 18/11/22
การดูแลสุขภาพพนักงานถือเป็นหัวใจของการบริหารองค์กรเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อพนักงานมีสุขภาพที่ดี มีกำลังใจที่พร้อม พวกเขาก็สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำให้บรรยากาศการทำงานเต็มไปด้วยพลัง ในทางตรงกันข้าม หากพนักงานสุขภาพย่ำแย่ รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ตลอด พวกเขาก็คงไม่มีแรงที่จะมุ่งมั่นและทำงานให้สำเร็จลุล่วงได้ดี
สุขภาพกายและสุขภาพใจของพนักงานจึงเป็นสิ่งที่บริษัทและองค์กรไม่ควรมองข้าม และควรยึดถือเป็นหนึ่งในหน้าที่ที่บริษัทจะดูแลสุขภาพของพวกเขา
การดูแลสุขภาพพนักงาน สำคัญอย่างไร
การเอาใจใส่ในด้านสุขภาพพนักงานมีประโยชน์ทั้งต่อตัวพนักงานที่จะมีสุขภาพกายและใจที่ดี และทั้งต่อตัวบริษัทเองก็ได้ประโยชน์จากการที่พนักงานที่กำลังที่จะทำงานอย่างเต็มความสามารถ ช่วยเพิ่ม Productivity ให้กับบริษัท และลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจากการลาป่วย ลาออก หรือค่ารักษาพยาบาล
ลดการลางานและอัตราการลาออก
พนักงานมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง พร้อมสำหรับการทำงาน เพราะห่างไกลจากโรคภัย ปัญหาสุขภาพจิตจากความเครียด และจากพฤติกรรมที่ส่งผลเสียกับสุขภาพ ซึ่งบริษัทสามารถส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมที่ดีผ่านวัฒนธรรมการทำงานที่เป็นมิตรและสวัสดิการด้านสุขภาพได้
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานหรือ Productivity
เมื่อบริษัทดูแลสุขภาพพนักงาน ช่วยส่งเสริมให้เขามีทัศนคติและพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ พวกเขาก็จะมีกำลังใจและกำลังกายที่พร้อมสำหรับการทำงานและพร้อมเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ จากงาน
เป็นองค์กรที่น่าร่วมงานด้วย
ลองนึกดูว่า บริษัทที่เต็มไปด้วยคนสุขภาพดีและอารมณ์ดี บริษัทแบบไหนจะน่าอยู่ขนาดไหน
หากบริษัทสามารถส่งเสริมให้พนักงานมีสุขภาพที่ดีได้ นอกจากจะช่วยลดอัตราการลาออก ทำให้พนักงานอยู่กับบริษัทนานขึ้น (Employee Retention) ก็ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรให้คนภายนอกและคนที่มีศักยภาพ (Talents) อยากร่วมงานด้วย
แล้วบริษัทจะดูแลสุขภาพพนักงานได้อย่างไรบ้าง?
1. ส่งเสริมการดูแลสุขภาพพนักงาน
ส่งเสริมให้พนักงานดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง ผ่านการสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมสุขภาพและการสะกิด (Nudging) ให้พนักงานมีพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ เช่น
– ชักชวนให้ไปออกกำลังกายหลังเลิกงานหรือในวันหยุดด้วยกัน เช่น ออกไปวิ่งที่สวน ไปฟิตเนส ชวนไปปีนหน้าผาจำลอง ฯลฯ นอกจากจะได้สุขภาพกายที่ดีแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์กันในองค์กรอีกด้วย
– ชักชวนและส่งเสริมให้กินอาหารสุขภาพ เช่น กินอาหารคลีนทุก ๆ วันอังคาร หรือบริษัทอาจตกลงดีลส่วนลดร้านอาหารสุขภาพเป็นหนึ่งในสวัสดิการพนักงาน
– ใช้โปรแกรมสุขภาพ (Health Program) เพื่อช่วย “สะกิด” ให้พนักงานแต่ละคนดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีขึ้น จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพระยะยาว เช่น แอปพลิเคชัน SAKID ที่คอยมอบภารกิจดูแลสุขภาพ เช่น สะกิดให้เดิน 10,000 ก้าว สอบถามมื้ออาหารที่กินเพื่อให้กับการตระหนักร งดกินจุบจิบ งดดื่มแอลกอฮอล์
2. มีสวัสดิการด้านสุขภาพ
สวัสดิการบริษัทที่ดีก็สามารถช่วยส่งเสริมให้พนักงานมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น
– ให้สวัสดิการวันหยุดที่เหมาะสม ช่วยให้พนักงานได้มีเวลาพักผ่อนจากภาระหน้าที่ การงาน และยังได้มีเวลาไปดูแลตัวเองเพิ่มขึ้น ทำงานอดิเรกที่รัก หรือได้ผ่อนคลายจิตใจจากความเครียด
– มีประกันสุขภาพและค่ารักษาพยาบาล หากมีสวัสดิการที่ช่วยค่ารักษาพยาบาลกับพนักงานได้ ก็ช่วยให้พวกเขาไม่ลังเลที่จะไปพบแพทย์เพื่อรักษาร่างกายหรือจิตใจ
– มีแพ็กเกจตรวจสุขภาพประจำปี ช่วยให้ในทุก ๆ ปี พนักงานได้ตระหนักถึงสุขภาพ นอกจากนี้ ผลตรวจสุขภาพอาจช่วยกระตุ้นให้พวกเขาตั้งเป้าหมายดูแลสุขภาพตัวเองได้อีกด้วย เช่น ลดค่าแคลเลอรี่ ลดเปอร์เช็นต์ไขมัน ลดค่าตับ ฯลฯ
– สมัครสมาชิกฟิตเนสให้ฟรีหรือให้ส่วนลดพิเศษ เพื่อส่งเสริมให้พนักงานไปออกกำลังกายกันมากขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายในการไปฟิตเนส
3. สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม
อาการ “ออฟฟิศซินโดรม” (Office Syndrom) หรืออาการเจ็บ ปวด และเมื่อยกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เนื่องมาจากการนั่งทำงานของเหล่ามนุษย์ออฟฟิศ ไม่ใช่ปัญหาที่บริษัทจะมองข้ามได้
อาการปวดกล้ามเนื้อเหล่านั้น ไม่เพียงส่งผลต่อ Productivity โดยตรง แต่ส่งผลให้เกิดความเครียดสะสม กระตุ้นไมเกรน และเป็นหนึ่งในอาการที่สามารถสะสมรวมกับความเครียดและเหนื่อยล้าเป็นอาการ “หมดไฟ” (Burn out) จนพนักงานต้องลาป่วยหรือลาออกไปได้
บริษัทจึงควรให้ความสำคัญกับการจัดสถานที่ทำงาน หรือ “Work Station” ให้ถูกหลักสรีรศาสตร์ เลือกใช้เก้าอี้ออฟฟิศที่รองรับสรีระได้ดี (Ergonomic chair) และโต๊ะที่ได้ความสูงพอดี สามารถวางแขนและวางหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้พอดีกับสายตา ไม่ต้องก้ม ให้เมื่อยคอ ฯลฯ
นอกจากนี้ เรื่องของบรรยากาศการทำงานก็สำคัญ ควรจัดสถานที่ทำงานให้ดูผ่อนคลาย มีแสงสว่างเพียงพอ มีความโปร่งสบาย อากาศถ่ายเท อาจจะมีพื้นที่สีเขียว ต้นไม้หรือจัดดอกไม้ในออฟฟิศเพิ่มความสดชื่นมีชีวิตชีวาในออฟฟิศ
4. มีวัฒนธรรมการทำงานที่ “Healthy”
วัฒนธรรมการทำงานหนัก การคอยจับผิดกัน หาแต่ข้อตำหนิ คงไม่อาจเรียกได้ว่า “Healthy” เป็นแน่ เพราะวัฒนธรรมดังกล่าวมีแต่จะทำให้พนักงานทยอยหมดกำลังใจในการทำงานลงไปในทุกวัน แล้ววัฒนธรรมแบบไหนที่ดีต่อใจพนักงานบ้าง ยกตัวอย่างมาแชร์กัน ดังนี้
– วัฒนธรรมที่เรียนรู้จากความผิดพลาด ไม่ใช้ข้อผิดพลาดเป็นข้อตำหนิหรือด้อยคุณค่าของคนทำงาน แต่ใช้เป็นกรณีเรียนรู้และหาทางปรับปรุงพัฒนาร่วมกัน
– วัฒนธรรมการให้ฟีดแบกอย่างสร้างสรรค์ (Constructive Comment) เรียนรู้เรื่องการคอมเมนต์งาน โดยเฉพาะหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้ปฏิบัติงานระดับอาวุโส (Senoir Level) ที่ต้องคอยตรวจงานให้ผู้อื่น
– ไม่ส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานหนัก ชื่นชมความทุ่มเท เห็นความพยายาม แต่ไม่ส่งเสริมให้ทำงานหนักจนเกินไป ยกตัวอย่างเช่น การเลินงานตรงเวลา ไม่ทักเรื่องงานในเวลาส่วนตัว
– วัฒนธรรรมการชื่นชมและให้กำลังใจ ถือเป็นหน้าที่สำคัญของหัวหน้างาน (Superviser) ที่สามารถมองเห็นความตั้งใจความทุ่มเทของทีมได้ง่าย การหมั่นชื่นชมผลงานแม้เพียงเรื่องเล็กน้อย จะช่วยให้พนักงานมีกำลังใจในการทำงาน
– วัฒนธรมที่แสดงออกถึงความใส่ใจ หมั่นสอบถามภาระงาน ความยาก หรือความท้าทาย เพื่อแสดงออกถึงความห่วงใยให้กันและกัน นอกจากนี้ หากทำจนเป็นวัฒนธรรมแล้ว จะทำให้การสื่อสารปัญหาภายในองค์กรเป็นเรื่องง่าย ช่วยจัดการปัญหาได้เร็ว
วัฒนธรรมองค์กรเหล่านี้ นอกจากทำให้ส่งเสริมกำลังใจแล้ว ยังมีส่วนทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Employee Engagement” หรือการมีส่วนร่วมของพนักงาน ทำให้ทีมรู้สึกเป็นทีม มีความเป็นพรรคพวกที่ช่วยเหลือและดูแลกัน และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับองค์กรด้วย
5. ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร
แม้เรื่องของความสัมพันธ์อาจจะเป็นเรื่องยากและค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่บริษัทหรือองค์กรก็มีบทบาทในการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีในองค์กรได้ ยกตัวอย่างเช่น
– การจัดกิจกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากเรื่องงานให้ทำร่วมกัน
– จัดงานเลี้ยงขอบคุณหรือกินข้าวร่วมกันในทุกเดือน
– งานเลี้ยงและกิจกรรมตามเทศกาล
– กิจกรรมท่องเที่ยวประจำปี (Outing)
โดยกิจกรรมเหล่านี้บริษัทสามารถกำหนดเป็นสวัสดิการพนักงานได้
นอกจากนี้ เรื่องวัฒนธรรมการทำงานที่ให้คุณค่ากับความพยายามของทุกคน ความโปร่งใส่ในการให้รางวัลหรือการขึ้นเงินเดือน การส่งเสริมทัศนคติความเป็นทีม การให้ฟีดแบกที่สร้างสรรค์อย่างตรงไปตรงมาก็ช่วยลดโอกาสที่ทำให้พนักงานไม่ไว้วางใจกัน รู้สึกเป็นทีมที่ช่วยเหลือพึ่งพา ไม่ก่อให้เกิดการแก่งแย่งชิงดีหรือนินทาว่าร้ายกันในที่ทำงาน ซึ่งไม่ส่งผลดีอย่างไรต่อจิตใจคนทำงาน
องค์กรเริ่มดูแลสุขภาพพนักงานได้ง่าย ๆ ด้วย SAKID
ในทุกวันนี้ เทคโนโลยีอย่าง “โปรแกรมสุขภาพ” (Health Program) มีบทบาทในการช่วยบริษัทสามารถดูแลสุขภาพพนักงานได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเทรนด์การใช้ Health Program ในองค์กรก็เป็นสิ่งที่บริษัทใหญ่ ๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศเริ่มต้นทำกันไปแล้ว เพราะมีสถิติที่ช่วยยืนยันว่า โปรแกรมช่วยให้พนักงานมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้จริง
ยกตัวอย่าง Health Program ในไทย อย่างแอปพลิเคชัน SAKID ที่ช่วยติดตามข้อมูลด้านสุขภาพและคอย “สะกิด” ให้พนักงานปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันให้ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น คอยสะกิดให้เดิน สะกิดให้งดอาหารพลังงานสูง หรือฟีเจอร์สำคัญที่มีผู้เชี่ยวชาญอย่าง นักกำหนดอาหาร นักวิทยาศาสตร์กีฬา และนักจิตวิทยาที่คอยให้คำปรึกษากับพนักงานโดยตรง ดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ
ตัวอย่างผลลัพธ์ที่ SAKID ช่วยให้พนักงานมีสุขภาพที่ดีขึ้น
ช่วยลดรอบเอวของพนักงานได้เฉลี่ยเกือบ 3 เซนติเมตร
ยกตัวอย่าง การใช้งาน SAKID ในองค์กรที่ให้ผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่น่าทึ่ง โดยจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน จากองค์กรที่ใช้ SAKID อย่างต่อเนื่องเกิน 3 เดือน กลุ่มตัวอย่างสามารถลดรอบเอวได้เฉลี่ยอย่างน้อย 3 เซนติเมตร ซึ่งการที่พนักงานสามารถลดรอบเอวได้ ก็ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคติดต่อไม่เรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันไขมัน รวมไปถึงช่วยเพิ่ม Productivity ให้พนักงานรู้สึกสดชื่นและมีพลังในการทำงานอย่างเต็มที่
จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคำนวณเป็นตัวเลขแล้ว SAKID สามารถช่วยให้บริษัทค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องไปได้ถึง 2.6 ล้านบาท ต่อปี
สรุป
การดูแลสุขภาพพนักงานไม่ใช่สิ่งที่จะเลือกว่า บริษัทจะทำหรือไม่ทำก็ได้
สุขภาพของพนักงานที่ดีหรือแย่จะส่งผลต่อองค์กรโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประสิทธิภาพการทำงาน ค่าใช้จ่ายจากความเจ็บป่วยของพนักงาน อัตราการลาป่วยและลาออก บรรยากาศการทำงาน ฯลฯ การใส่ใจสุขภาพของพนักงานจึงถือเป็นหน้าที่สำคัญในการบริหารองค์กร
SAKID สามารถช่วยบริษัทของคุณติดตามข้อมูลด้านสุขภาพ พร้อมส่งเสริมให้พนักงานของคุณ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวได้ เป็นความใส่ใจจากบริษัทที่สามารถมอบให้กับพนักงานในทุก ๆ วัน เพราะสุขภาพของพนักงานสำคัญที่สุด
อ่านฟีเจอร์ของ SAKID ทั้งหมด << ที่นี่
บทความที่น่าสนใจ
MBTI ถอดบุคลิกภาพ ไขความสำเร็จในการทำงานร่วมกัน
คุณเคยรู้สึกหงุดหงิดกับเพื่อนร่วมงานที่มีบุคลิกตรงข้ามกับคุณไหม คุณอาจเป็นคนเปิดเผย ชอบความตื่นเต้น แต่ต้องมาทำงานกับคนเงียบขรึม ชอบทำอะไรคนเดียว บางครั้งก็ทำให้เกิดความขัดแย้งและไม่เข้าใจกันได้ ความแตกต่างทางบุคลิกภาพเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ไม่ใช่อุปสรรคที่ทำให้เราทำงานร่วมกันไม่ได้ หากเรามีความเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกัน
บูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิดที่งาน Sports Day การไฟฟ้านครหลวง
บูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิดที่งาน Sports Day การไฟฟ้านครหลวง
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 Sakid ได้ออกบูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิดให้กับการไฟฟ้านครหลวงในงาน Sports Day ที่สนามกีฬาจุฬา โดยทีมงานมีแนะนำการเข้าร่วมโครงการ “MEA เบิร์นเกินร้อย” เปิดศึกการแข่งกันระหว่างทีมเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี ด้วยการส่งภารกิจสุขภาพผ่านแอพสะกิด และลุ้นรับของรางวัลในแต่ละเดือน
ออกแบบสวัสดิการพนักงานอย่างไร ให้ได้ใจพนักงาน
เชื่อว่าความต้องการของพนักงานแทบทุกคน จะต้องคาดหวังกับการได้รับผลตอบแทนที่ดี จากความขยันตั้งใจทำงาน โดยเฉพาะการได้รับสวัสดิการที่พึงพอใจ เป็นสิ่งที่ทำให้พนักงานเลือกที่จะทำงานกับบริษัท หรือองค์กรนั้นๆ ต่อไป ดังนั้น การทำงานของแต่ละองค์กร โดยเฉพาะผู้บริหารและ HR จะต้องเลือกวิธีการออกแบบสวัสดิการ ที่ส่งผลดีต่อพนักงาน โดยที่บริษัทไม่ได้เสียผลประโยชน์ไป เรียกว่า Win-Win กันทั้ง 2 ฝ่าย เรามาดูกันว่า ออกแบบสวัสดิการให้พนักงงานอย่างไรดี ถึงจะได้ใจพนักงาน
สวัสดิการพนักงาน โจทย์ใหญ่สำหรับผู้บริหารองค์กรยุคปัจจุบัน
สวัสดิการพนักงาน ถือเป็นโจทย์สำคัญของผู้บริหารแต่ละองค์กรที่ช่วยดึงดูดพนักงานใหม่เข้ามา และทำให้พนักงานเก่าไม่ให้ลาออกไป จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องขบคิดให้ดีนั่นเอง
Productivity พื้นฐานของการพัฒนาองค์กรอย่างมีคุณภาพ
ความหมายของ Productivity คืออะไร และแนวทางการเพิ่ม “ผลิตภาพ” ในองค์กร โดยที่ไม่ทำร้ายพนักงาน จากปัจจัยต่าง ๆ ที่บริษัทและพนักงานสามารถช่วยกันสร้างได้
WORKSHOP BURN OUT
กิจกรรม “ภาวะหมดไฟ กับสิ่งต่างๆ”
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 SAKID ได้จัดกิจกรรม Workshop “Burn Out” ให้กับธนาคาร UOB โดยนักจิตวิทยา ผู้เข้าฟังจะได้ทำการสำรวจตัวเองว่าอาการนี้เรียกว่า หมดไฟ หรือเปล่า และสามารถจัดการกับความรู้สึกได้อย่างไร การจัดการความเครียดจากการทำงานเพื่อไม่ให้กระทบกับสุขภาพใจ