
Carbon Credit Claim การเคลมเครดิตคาร์บอน สำหรับองค์กร
- 21/06/24
การเคลมเครดิตคาร์บอน (Carbon Credit Claim) คือ กระบวนการที่ผู้ประกอบการหรือองค์กรต่าง ๆ ทำเพื่อขอรับเครดิตคาร์บอนจากกิจกรรมหรือโครงการที่มีผลในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หรือสารเคมีเกี่ยวข้องอื่น ๆ จากสภาพแวดล้อม เพื่อขายเครดิตให้กับผู้อื่นที่ต้องการใช้เครดิตคาร์บอนเหล่านั้นเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง หรือเพื่อการธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยกระบวนการเคลมเครดิตคาร์บอนนั้นมักจะมีขั้นตอนและเกณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้โดยองค์กรหรือหน่วยงานที่รับรองเครดิตคาร์บอน เช่น องค์กรการค้าแลกเปลี่ยนเครดิตคาร์บอน (Carbon Credit Exchange) หรือหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องในแต่ละประเทศ โดยการเคลมเครดิตคาร์บอนมีได้หลายวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมหรือโครงการ หรือเพื่อเพิ่มรายได้จากการขายเครดิตคาร์บอน หรือเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์เชิงสิ่งแวดล้อมขององค์กร
คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit)
คาร์บอนเครดิตเป็นหน่วยที่ใช้ในการวัดและชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หนึ่งคาร์บอนเครดิตเท่ากับการลดหรือชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหนึ่งตันของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือเทียบเท่า คาร์บอนเครดิตสามารถซื้อขายในตลาดภาคบังคับ (Compliance Market) และตลาดภาคสมัครใจ (Voluntary Market) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว
ตลาดคาร์บอน (Carbon Market)
ตลาดคาร์บอนเป็นแพลตฟอร์มหรือระบบที่อนุญาตให้องค์กรหรือประเทศต่าง ๆ ซื้อขายคาร์บอนเครดิต ระบบนี้ช่วยสร้างแรงจูงใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยผู้ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซได้มากกว่าที่กำหนดจะสามารถขายคาร์บอนเครดิตส่วนเกินให้กับผู้ที่ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซได้ตามที่กำหนด

ตลาดเครดิตคาร์บอนในประเทศไทย
การเคลมเครดิตคาร์บอนมักจะต้องมีการตรวจสอบและรับรองจากองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่ากิจกรรมหรือโครงการที่เคลมเครดิตคาร์บอนนั้นสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้โดยองค์กรหรือหน่วยงานรับรองเครดิตคาร์บอนคือ
• องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (Thailand Greenhouse Gas Management Organization – TGO):
เป็นหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่ในการส่งเสริมและพัฒนากระบวนการซื้อขายเครดิตคาร์บอนในประเทศไทย รวมถึงการรับรองโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐานต่าง ๆ เช่น มาตรฐานโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program – T-VER)
• โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ (T-VER):
เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้องค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศไทยเข้าร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยสามารถรับรองการลดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นและออกเครดิตคาร์บอนได้
• การเข้าร่วมตลาดเครดิตคาร์บอนระหว่างประเทศ:
ประเทศไทยยังมีการเข้าร่วมในตลาดเครดิตคาร์บอนระหว่างประเทศ เช่น ตลาดคาร์บอนของกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ซึ่งเปิดโอกาสให้ประเทศไทยสามารถซื้อขายเครดิตคาร์บอนได้ในระดับภูมิภาคและระดับโลก
• โครงการพัฒนาเครดิตคาร์บอนภาคเอกชน:
ภาคเอกชนในประเทศไทย เช่น บริษัทพลังงาน หมู่บ้านปลูกป่า และโครงการจัดการของเสีย ได้เข้าร่วมในโครงการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาเครดิตคาร์บอน และได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยปกติแล้ว การเคลมเครดิตคาร์บอนจะต้องมีเอกสารประกอบและข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับกิจกรรมหรือโครงการที่มีผลในการลดการปล่อยคาร์บอน รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณของคาร์บอนที่ได้รับการลดลงด้วย และมักจะต้องมีการรายงานหรือตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อยืนยันว่ากิจกรรมหรือโครงการยังคงมีผลต่อการลดการปล่อยคาร์บอนตามที่ได้รับเครดิตคาร์บอนไว้ตามที่ระบุไว้ในสัญญา หรือในเกณฑ์ของหน่วยงานรับรองเครดิตคาร์บอน
ขั้นตอนการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย
FTIX (Future Carbon Trading Index) เป็นแนวคิดหรือชื่อที่อาจถูกนำมาใช้ในบริบทของตลาดคาร์บอนเครดิตหรือการซื้อขายคาร์บอนในอนาคต อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับ FTIX อาจยังไม่เป็นที่รู้จักหรือมีการใช้อย่างแพร่หลายในขณะนี้ ในการทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตและตลาดคาร์บอนในประเทศไทยและระดับสากล เราจะสรุปข้อมูลเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตและการดำเนินงานในตลาดคาร์บอนให้ชัดเจนขึ้น
• การพัฒนาโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก:
โครงการต้องถูกออกแบบเพื่อให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น โครงการพลังงานหมุนเวียน การปลูกป่า หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน
• การตรวจสอบและรับรอง:
โครงการต้องได้รับการตรวจสอบและรับรองจากหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับ เช่น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ในประเทศไทย
•การออกคาร์บอนเครดิต:
เมื่อโครงการได้รับการตรวจสอบและรับรอง จะมีการออกคาร์บอนเครดิตที่สามารถซื้อขายได้
• การซื้อขายคาร์บอนเครดิต:
คาร์บอนเครดิตที่ได้รับการออกสามารถซื้อขายในตลาดคาร์บอนของประเทศไทย(FTIX)หรือในตลาดคาร์บอนระหว่างประเทศได้
•การใช้คาร์บอนเครดิต:
องค์กรที่ซื้อคาร์บอนเครดิตสามารถใช้เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง หรือเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
การเคลมเครดิตคาร์บอน เป็นการจัดตั้งโครงการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและให้องค์กรหันมาดูแลสิ่งแวดล้อมโดยที่มีตัวกลางอย่างตลาดคาร์บอนช่วยสร้างแรงจูงใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากการมีโครงการช่วยสิ่งแวดล้อมแล้วยังมีโครงการอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการจัด CSR การดูแลสุขภาพพนักงานกับแอพ SAKID และการจัดWorkshop ให้ความรู้พนักงานก็สามารถเป็นโครงการที่ดีและมีประโยชน์ต่อองค์กรและสังคมได้
แหล่งอ้างอิง
https://carbonmarket.tgo.or.th/
https://www.tgo.or.th/2023/index.php/th/
https://ghgreduction.tgo.or.th/en/t-ver-en.html
https://www.fti-cc.com/market
บทความที่น่าสนใจ

12 กิจกรรม สร้างทีมเวิร์คที่ออฟฟิศ
คุณเคยรู้สึกว่าบรรยากาศในที่ทำงานห่างเหิน ขาดพลังของการร่วมมือร่วมใจกันหรือไม่? ในโลกธุรกิจยุคใหม่ที่มีการแข่งขันสูง การสร้างทีมงานที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จขององค์กร กิจกรรม Team Building คือเครื่องมือที่จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ความไว้วางใจ ความร่วมมือ และการทำงานเป็นทีมอย่างราบรื่น

พักจากงานสักแปป แนะนำ บอร์ดเกม ที่ควรติดไว้ให้เล่นในที่ทำงาน
การเล่นเกมเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมในที่ทำงาน นอกจากงานที่ทำอยู่แล้ว การมีเพื่อนที่เล่นเกมด้วยกันจะทำให้ผ่อนคลายและกระชับความสัมพันธ์เห็นมุมมองของแต่ละคนที่แตกต่างจากตัวตนในการทำงานอีกด้วย เกมที่แนะนำเป็นบอร์ดเกมเพราะว่าทุกคนจะสามารถวางโทรศัพท์และทุกสิ่งทุกอย่างลงได้ เพื่อมาโฟกัสจับต้องเกมกันและใช้เวลาเล่นไม่นานสั้นๆ เพื่อเป็นการพักจากงานที่ทำอยู่ หรือพักเที่ยง พักเบรคได้

7 วิธีดูแลสุขภาพจิตใจพนักงาน เพื่อสร้างความสุขและประสิทธิภาพในการทำงาน
ในโลกของการทำงานยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกดดัน ปัญหาสุขภาพจิตใจของพนักงานกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกองค์กรต้องให้ความสนใจ จากการสำรวจของ WHO พบว่ากว่า 264 ล้านคนทั่วโลกต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้า และอีกกว่า 284 ล้านคนมีความวิตกกังวลผิดปกติ ซึ่งนอกจากจะส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตพนักงานแล้ว ยังบั่นทอนประสิทธิภาพการทำงานไปด้วย (World Health Organization, 2022) และนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพจิตมีหลายรูปแบบ ได้แก่ ภาวะเครียดเรื้อรัง ความวิตกกังวล ภาวะหมดไฟ โรคซึมเศร้า โดยปัญหาสุขภาพจิตเหล่านี้มีสาเหตุได้หลากหลายด้าน ทั้งจากลักษณะงาน ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน การบริหารจัดการ รวมถึงปัญหาส่วนตัว (Pfeffer, 2018)

Well-Being กลยุทธ์สร้างสุขภาวะที่ดีให้กับพนักงาน
ทุกธุรกิจ ทุกองค์กร มีการจัดการคนทำงานในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ถ้าวันนี้ลองสังเกตดูว่า พนักงานของเรา ยังมีความสุขในการทำงานหรือไม่ การทำงานของแต่ละคนมีประสิทธิภาพที่ตอบโจทย์องค์กรมากแค่ไหน และคุณภาพชีวิตของพนักงานดีขึ้นทุกด้านรึเปล่า หากผู้นำหรือผู้บริหารสามารถมองจุดนี้ได้ ธุรกิจก็จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน

ภาวะฝืนทำงาน (Presenteeism) จุดเริ่มต้นสุขภาพจิตพนักงาน
ในหลายองค์กรไทย เรามักจะเห็นพนักงานที่ “ฝืน” มาทำงานทั้งที่ไม่สบาย รู้สึกเครียด หรือมีภาระส่วนตัวที่ยังแก้ไม่ตก สิ่งนี้เรียกว่า ภาวะฝืนทำงาน (Presenteeism) ซึ่งแตกต่างจากการขาดงาน (Absenteeism) เพราะแม้พนักงานจะอยู่ที่โต๊ะทำงาน แต่ประสิทธิภาพกลับลดลง และยังเสี่ยงสร้างปัญหาสุขภาพในระยะยาว

การดูแลพนักงานเจนใหม่ Gen Z ด้วยแนวทางจิตวิทยา
ในยุคปัจจุบัน พนักงานกลุ่ม Gen Z และ Millennials กลายเป็นกำลังสำคัญขององค์กรทั่วโลก ด้วยความที่ทั้งสองกลุ่มเติบโตมาในยุคที่เทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมีบทบาทสำคัญ พวกเขามีมุมมองต่อชีวิต การทำงาน และความสำเร็จที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน การจัดการคนกลุ่มนี้จึงจำเป็นต้องเข้าใจจิตวิทยาและพฤติกรรมเฉพาะตัวของพวกเขา เพื่อสร้างความผูกพันและดึงศักยภาพออกมาให้ได้มากที่สุด