
วิธีดึงพนักงานกลับมาเมื่อ หมดpassionในการทำงาน
- 01/10/25
เคยสังเกตไหมว่า ทำไมพนักงานที่เคยเต็มไปด้วยไฟในการทำงาน เคยเป็นคนเสนอไอเดียใหม่ ๆ อย่างกระตือรือร้น กลับค่อย ๆ กลายเป็นคนที่นั่งเงียบ ไม่อยากออกความคิดเห็น และทำงานไปวัน ๆ เพียงเพื่อรอให้หมดเวลา? นี่ไม่ใช่เพียงแค่ “อาการเหนื่อย” ชั่วคราว แต่เป็นสัญญาณสำคัญของ หมดpassionในการทำงาน ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในองค์กรไทยและทั่วโลก
ในประเทศไทยเอง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ก็เคยรายงานว่า พนักงานกว่า 1 ใน 3 เผชิญภาวะเครียดเรื้อรังจากการทำงาน และหลายกรณีกลายเป็น หมดไฟในการทำงาน ตามมา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อทั้งสุขภาพพนักงานและผลประกอบการขององค์กร
ทำไมพนักงานถึง หมดpassionในการทำงาน
การที่พนักงานรู้สึกหมดไฟหรือหมด passion มักไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลรวมจากหลายปัจจัยที่สะสมจนทำให้แรงจูงใจและความสุขในการทำงานลดลง
1. ปัจจัยด้านตัวพนักงาน (Individual)
• ความไม่สมดุลชีวิต-งาน (Work-Life Imbalance): พนักงานที่ทำงานเกินเวลาตลอด ไม่เหลือเวลาส่วนตัว จะรู้สึกว่า “งานแย่งชีวิต” จนนำไปสู่ความเหนื่อยล้าเรื้อรัง
• เป้าหมายส่วนตัวไม่สอดคล้องกับงาน: เมื่อสิ่งที่ทำไม่ตอบโจทย์เส้นทางชีวิตหรือคุณค่าที่ตนเองเชื่อ เช่น อยากทำงานสร้างคุณค่า แต่กลับเจองานเน้นผลกำไรเพียงอย่างเดียว ทำให้หมดแรงใจ
• สุขภาพกายและจิต: การพักผ่อนไม่เพียงพอ อาหารไม่ถูกหลัก หรือเผชิญความเครียดสะสม ล้วนทำให้ passion ดับลงได้ง่าย
2. ปัจจัยด้านงาน (Job Factor)
• งานซ้ำซาก ไม่มีความท้าทาย: เมื่อพนักงานทำงานแบบเดิมซ้ำ ๆ ไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือทักษะใหม่ ๆ จะรู้สึกว่างานไร้ความหมาย
• ขาดโอกาสการพัฒนา: หากองค์กรไม่สนับสนุนการเรียนรู้ใหม่ พนักงานจะรู้สึกว่าอนาคตตัน ไม่เห็นเส้นทางเติบโต
• ระบบวัดผลงานไม่เป็นธรรม: การที่ผลงานไม่ได้รับการยอมรับ หรือถูกประเมินไม่สอดคล้องกับความจริง ทำให้รู้สึกท้อและหมดกำลังใจ
3. ปัจจัยด้านองค์กร (Organizational Factor)
• วัฒนธรรมองค์กรไม่เอื้อต่อความสุข: องค์กรที่เน้นตัวเลขมากกว่าคน ไม่ฟังเสียงพนักงาน หรือไม่มีระบบสนับสนุนสุขภาพใจ มักทำให้พนักงานรู้สึกถูกมองข้าม
• ภาวะผู้นำที่กดดันมากเกินไป: หัวหน้างานที่สื่อสารเชิงลบ ใช้วิธีบังคับมากกว่าการโค้ช จะทำให้ทีมหมด passion เร็วกว่าที่คิด
• การเปลี่ยนแปลงที่ถี่เกินไป: การปรับโครงสร้าง ย้ายทีม หรือเปลี่ยน KPI บ่อย ๆ โดยไม่มีการสื่อสารที่ดี สร้างความไม่มั่นคงและลดแรงจูงใจ
จะเห็นว่า หมดpassionในการทำงาน ไม่ใช่ความผิดของพนักงานเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นเรื่องของ “ระบบในที่ทำงาน” ที่ HR และผู้บริหารต้องร่วมกันดูแล ทั้งการออกแบบงาน วัฒนธรรมองค์กร และการสนับสนุนสุขภาวะพนักงาน

สัญญาณเตือนเมื่อพนักงาน หมดpassionในการทำงาน
การที่พนักงาน หมดpassionในการทำงาน มักไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่จะมี “สัญญาณเตือน” เล็ก ๆ ที่สะสมและชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ หาก HR และผู้บริหารจับสังเกตได้เร็ว ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ปัญลามไปสู่ ภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) อย่างรุนแรง
1. ประสิทธิภาพงานลดลงอย่างต่อเนื่อง
• ผลงานไม่ตรงตามกำหนด ทั้งที่เคยทำได้
• งานออกมาคุณภาพต่ำลง ไม่ใส่ใจรายละเอียด
• ไม่เสนอนวัตกรรมหรือไอเดียใหม่เหมือนเดิม
‣ ตัวอย่าง: พนักงานเคยเสนอไอเดียระหว่างประชุมทุกครั้ง แต่พักหลังเลือกเงียบ หรือพูดสั้น ๆ เพื่อให้จบ
2. พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
• มาสาย/ขาดงานบ่อย: อ้างเหตุผลสุขภาพหรือเรื่องส่วนตัวถี่ขึ้น
• ใช้เวลาพักมากขึ้น: เดินออกไปข้างนอกบ่อย หรือใช้เวลาพักเกินกำหนด
• แยกตัวจากทีม: ไม่เข้าร่วมกิจกรรมองค์กร ทั้งที่เคยกระตือรือร้น
‣ ตัวอย่าง: จากเดิมเป็นคนร่าเริง ชวนเพื่อนร่วมทีมคุย แต่ตอนนี้นั่งเงียบ ไม่สุงสิงกับใคร
3. อารมณ์และทัศนคติเปลี่ยนไป
• แสดงออกถึง ความเบื่อหน่าย บ่อยครั้ง เช่น ถอนหายใจ ทำสีหน้าล้า
• พูดเชิงลบเกี่ยวกับงานหรือองค์กร
• ขาดความกระตือรือร้นในการรับมอบหมายงานใหม่
‣ ตัวอย่าง: เมื่อได้รับงานใหม่ ตอบทันทีว่า “ก็ทำได้แหละ แต่คงไม่ต่างจากเดิมหรอก”
4. ปัญหาสุขภาพกายและจิต
• นอนน้อย เหนื่อยง่าย เจ็บป่วยบ่อย
• บ่นปวดหัว ปวดหลัง หรือเครียดตลอดเวลา
• มีอาการซึมเศร้า เช่น เศร้าบ่อย ร้องไห้ง่าย
‣ตัวอย่าง: พนักงานลาป่วยบ่อยขึ้น โดยแพทย์ไม่พบสาเหตุทางกายที่ชัดเจน
5. ความสัมพันธ์ในที่ทำงานแย่ลง
• หงุดหงิดง่าย ขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน
• ไม่เปิดใจสื่อสารกับหัวหน้า
• ขาดความร่วมมือเมื่อต้องทำงานเป็นทีม
‣ ตัวอย่าง: เคยเป็นคนกลางประสานงาน แต่กลับกลายเป็นผู้สร้างความขัดแย้งในทีม

กลยุทธ์ดึงพนักงานกลับมาเมื่อหมด Passion
1. ฟังเสียงและเข้าใจปัญหา
เริ่มต้นจากการ เปิดพื้นที่พูดคุย ไม่ว่าจะผ่าน one-on-one meeting หรือแบบสอบถามออนไลน์ เพื่อให้พนักงานได้ถ่ายทอดสิ่งที่กดดันจริง ๆ HR ควรรับฟังอย่างจริงใจ พร้อมนำข้อมูลไปออกแบบนโยบายใหม่
2. ปรับงานและเพิ่มความท้าทาย
พนักงานจำนวนมากหมด passion เพราะรู้สึกว่างานไม่ท้าทาย การมอบหมายโครงการใหม่ ๆ หรือเปิดโอกาสให้หมุนเวียนงาน (Job Rotation) สามารถทำให้พนักงานกลับมามีแรงบันดาลใจ
3. สร้างแรงบันดาลใจในการทำงานผ่านการยอมรับและการชื่นชม
Recognition เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ แม้คำชื่นชมเล็ก ๆ ก็สามารถลดความรู้สึกหมดไฟได้ องค์กรควรมีระบบประกาศยกย่องผลงาน ทั้งรายบุคคลและทีม
4. ใช้โปรแกรม Wellbeing และ EAP
การดูแลสุขภาพกายและใจเป็นหัวใจหลักในการป้องกัน burnout องค์กรสามารถนำ Workplace Wellness Program หรือ Employee Assistance Program (EAP) มาใช้เพื่อสนับสนุนด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย และการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา
5. ออกแบบ Workshop และการเรียนรู้ใหม่
การสร้างโอกาสให้พนักงานเรียนรู้สิ่งใหม่ไม่เพียงพัฒนาทักษะ แต่ยังเติม passion ได้ เช่น Workshop จัดการความเครียดและสร้างแรงบันดาลใจ Workshopที่ออกแบบโดยนักจิตวิทยา

Workshop นักจิตวิทยาและการปรึกษาออนไลน์สำหรับพนักงาน
หนึ่งในกลยุทธ์ที่องค์กรสามารถใช้เพื่อดูแล mental health ของพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพ คือการจัดให้มี Workshop ด้านสุขภาพจิต และการเปิดช่องทาง ปรึกษานักจิตวิทยาออนไลน์ ซึ่งตอบโจทย์พนักงานยุคใหม่ที่อาจไม่สะดวกเดินทางไปพบผู้เชี่ยวชาญด้วยตนเอง
ทำไม Workshop นักจิตวิทยาจึงสำคัญ
• ช่วยให้พนักงานเข้าใจ การจัดการความเครียด และเทคนิคปรับอารมณ์ในชีวิตประจำวัน
• เปิดพื้นที่ให้พนักงานได้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเรียนรู้ร่วมกัน
• เสริมสร้างความเข้าใจเรื่อง การป้องกัน burnout และการสร้างสมดุลชีวิต-งาน
• เป็นกิจกรรมที่แสดงให้องค์กรเห็นถึงความใส่ใจต่อสุขภาพจิตของบุคลากร
ตัวอย่างหัวข้อเวิร์กช็อปที่ได้รับความนิยมในองค์กร
• Mindfulness at Work ฝึกสติในที่ทำงานเพื่อลดความเครียด
• Stress Management 101 เทคนิคจัดการความเครียดแบบง่าย ๆ
• Burn out การรู้จักตัวเองและจัดการปัญหากับเหตุการณ์ต่างๆภายในจิตใจทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว
ปรึกษานักจิตวิทยาออนไลน์: การเข้าถึงที่ง่ายขึ้น
ปัจจุบันหลายองค์กรเปิดบริการ Online Counseling ให้พนักงานสามารถพูดคุยกับนักจิตวิทยาได้ผ่าน วิดีโอคอล หรือแชทส่วนตัว ข้อดีคือ
• เข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
• รักษาความเป็นส่วนตัว ทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยในการเปิดใจ
• ลดอุปสรรคเรื่อง stigma เพราะหลายคนยังรู้สึกไม่กล้าไปพบผู้เชี่ยวชาญแบบตัวต่อตัว
การมีทั้ง Workshop และ Online Counseling จะช่วยให้องค์กรดูแลสุขภาพจิตพนักงานได้ครบมิติ ทั้งเชิงป้องกันและการให้ความช่วยเหลือเฉพาะราย
Checklist 5 ขั้นตอนดูแล Mental Health พนักงาน
✅ ประเมินสถานการณ์ ใช้แบบสอบถามความเครียดและ burnout
✅ เปิดช่องทางรับฟังอย่างจริงใจ ให้องค์กรแสดงความตั้งใจที่จะรับฟังความคิดเห็น
✅ จัดโปรแกรมสนับสนุน เช่น EAP หรือกิจกรรมเวิร์คช็อป
✅ ฝึกอบรมหัวหน้างาน ให้เข้าใจการสังเกตสัญญาณสุขภาพจิต
✅ ติดตามและปรับปรุง ใช้ KPI เช่น turnover rate, sick leave days
การที่พนักงาน หมดpassionในการทำงาน ไม่ใช่เรื่องผิดของใครฝ่ายเดียว แต่เป็นผลจากหลายปัจจัย ทั้งตัวงาน สภาพแวดล้อม และสุขภาพกายใจของคนทำงาน สิ่งสำคัญคือองค์กรต้องมองเห็นและเข้าใจ เพื่อช่วยให้พนักงานกลับมามีพลังและแรงบันดาลใจอีกครั้ง
แล้วควรจัดกิจกรรมแบบไหนดี ระยะเวลานานเท่าใด คำตอบนี้ก็ต้องปรับให้เหมาะสมกับบริบทแต่ละองค์กร แต่หากไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ปรึกษา SAKID ได้ เราไม่ใช่แค่ผู้นำกิจกรรมสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ปรึกษาช่วยออกแบบกิจกรรมสุขภาพให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร รวมทั้งวิเคราะห์ผลลัพธ์ทางสุขภาพให้จบครบในที่เดียว ทำให้คนในองค์กรมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน
Workshop กับ SAKID เรื่องการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเรื่องอาหาร ทำอาหารสุขภาพ Cooking class สุขภาพจิตปรึกษานักจิตวิทยาแบบรายบุคคลหรือทำกิจกรรมคลาสกลุ่ม นักกายภาพออฟฟิศซินโดรม โดยเรามีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่จะมาให้ความรู้เข้าใจแบบย่อยง่ายและลองทำกิจกรรมร่วมกัน อาทิเช่น คลาสโยคะ คลาสซุมบ้า คลาสออกกำลังกายหลังเลิกงาน สามารถสอบถามและช่วยออกแบบ Workshop ให้ตรงกับไลฟ์สไตล์พนักงานในบริษัทได้
แหล่งอ้างอิง
World Health Organization. (2019). Burn-out an “occupational phenomenon”: International Classification of Diseases. WHO.
Maslach, C., & Leiter, M. P. (2016). Understanding the burnout experience: Recent research and its implications for psychiatry. World Psychiatry, 15(2), 103–111.
กระทรวงสาธารณสุข. (2565). แนวทางป้องกันและดูแลภาวะหมดไฟในการทำงาน.
บทความที่น่าสนใจ

จัดกิจกรรม outing บริษัททำกิจกรรมอะไรดี?
การจัด กิจกรรม outing ไม่ใช่แค่พาพนักงานไปเที่ยวพักผ่อน แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความผูกพันกับองค์กร เพิ่มความสามัคคี และเสริมสุขภาพกาย-ใจของพนักงาน งานวิจัยของ Gallup (2022) ชี้ว่า พนักงานที่มี engagement สูง จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้มากถึง 21% และมีอัตราการลาออกน้อยลงเกือบครึ่งหนึ่ง

workshop การยศาสตร์ในการทำงาน (Ergonomics Training)
กิจกรรม Workshop “Meditationand Deep relaxation ”
เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 SAKID ได้จัดกิจกรรม Workshop “กายศาสตร์ในการทำงาน” โดยนักกายภาพบำบัดที่จะมาสอนความรู้เรื่องกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในร่างกายเบื่้องต้น อาหารแบบไหนที่เจ็บแล้วอันตรายควรไปพบคุณหมอ การปรับท่านั่งการทำงานให้ถูกต้องตามสรีระของแต่คน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ หรือตัวเอง การยืดกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ที่ถูกใช้บ่อย ๆ สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เมื่อย ล้า ให้บรรเทาลง ปรับท่าแก้ปัญหาไหล่ห่อ คอยื่น และเรื่องที่ควรระวังในการยกของหนัก ท่าที่ถูกต้อง สำหรับการยกของหนัก และการนั่งทำงานที่ใช้โน๊ตบุ๊คเป็นหลัก

Workshop Stress and work life balance
วันที่ 25 มิถุนายน 2568 SAKID ได้จัดกิจกรรมWorkshop stress and work life balance ที่บริษัท ภิรัชออฟฟิศ แอท เอ็มควอเทียร์ โดยนักจจิตวิทยามาร่วมพูคุยและให้ความรู้ เพื่อให้พนักงานรู้ว่าตัวเองตอนนี้กำลังเผชิญกับความเครียดอยู่หรือไม่ เคล็ดลับการจัดการความเครียดและการสื่อสารต่อเพื่อนร่วมงานและพัฒนาทักษะการสื่อสารเพื่อปฏิสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้นกับลูกค้า เทคนิคการจัดการความเครียดเรื่องการจัดการภาระงาน

ตรวจสุขภาพประจำปี พนักงาน สร้างกิจกรรม
ตรวจสุขภาพประจำปี สวัสดิการพนักงานบริษัทที่ทำการตรวจกันทุกปี แล้วพนักงานก็จะได้ผลตรวจสุขภาพรายบุคคนกันไป บางคนผลออกมาปกติดี บางคนก็ประสบปัญหาสุขภาพตามอายุและพฤติกรรมแบบกลุ่มกัน ไม่ว่าจะทางร่างกายและทางจิตใจ ซึ่งพนักงานแต่ละคนก็จะมีวิธีการดูแลตัวเองต่างกันไป ถ้าในบริษัทเจอปัญหาสุขภาพของพนักงานหลายคน หรือเจอปัญหาเสี่ยงโรคสุขภาพแบบกลุ่ม ทำให้มีการ ลาป่วย งานนี้จึงมาตกอยู่ที่ HR ที่จะต้องมาดูแลพนักงานหลายสิบหรือร้อยคน เพื่อให้บริษัทได้มีพนักงานที่สุขภาพร่างกายที่แข็งแรง การมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางสามารถช่วยให้ความรู้แบบกลุ่ม ซึ่งสามารถประหยัดเวลา และ ให้พนักงานมีความรู้ความเข้าใจการดูแลตัวเองเพิ่มขึ้น

Performance Management คืออะไร ทำไมองค์กรควรให้ความสำคัญ
Performance Management หรือ การบริหารผลการปฏิบัติงาน คือระบบที่สามารถทำหน้าที่ควบคุม หรือชี้แนะให้พนักงานทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง

CSR กับ SAKID พนักงานได้ออกกำลังกายและช่วยเหลือสังคมได้ด้วย
การจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพให้กับพนักงานโดยการนำ CSR มารวมกันด้วย เป็นหนึ่งในไอเดียในการทำกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพพนักงานในบริษัทและยังมีกิจกรรมในการทำสิ่งที่มีประโยชน์คืนสู่สังคมอีกด้วย เป็นกิจกรรมที่ได้ประโยชน์เป็นอย่างมากนอกจากสุขภาพพนักงานดีขึ้นด้วยกิจกรรมส่งเสริม Productivity และยังมีกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อสังคม