
Productivity พื้นฐานของการพัฒนาองค์กรอย่างมีคุณภาพ
- 19/12/22
คำว่า “Productivity” ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ได้กลายเป็น “Buzzword” หรือคำที่มีคนพูดถึงจำนวนมากไปแล้ว โดยเฉพาะในช่วงล็อกดาวน์ (Lockdown) ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่บริษัทต่าง ๆ ปรับรูปแบบมาเป็นการทำงานแบบ WFH: Work From Home และ Remote Working กันมากขึ้น
การทำงานที่บ้านหรือ WFH มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อกังวลเรื่องของ Productivity ในการทำงาน เพราะการทำงานที่บ้านอาจมีปัจจัยต่าง ๆ ที่รบกวนการจดจ่อกับงานลงได้ ในช่วงนี้ จึงมักมีบทความที่ให้เกี่ยวกับการทำงานอย่างมีผลิตภาพให้กับเหล่าคนทำงาน จนกลายเป็นเหมือนว่า การทำงานแบบ Productive เป็นความรับผิดชอบของคนทำงานฝ่ายเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว บริษัทหรือองค์กรก็มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการทำงานอย่างมีผลิตภาพได้เช่นกัน
บทความนี้ จะช่วยมาแจกแจงถึงความหมาย ปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อ Producivity และแนวทางที่บริษัทหรือองค์กรสามารถช่วยให้พนักงานทำให้งานได้อย่างเต็มที่และมีผลิตภาพ
Productivity จริง ๆ แล้ว หมายถึงอะไร
Productivity แปลเป็นภาษาไทยว่า “ผลิตภาพ” หมายถึง ตัวชี้วัดความสำเร็จและในการบริหารและทำงานในระบบการผลิตของอุตสาหกรรม ซึ่งมีตัวชี้วัดที่วัดเป็นตัวเลขได้ชัดเจน เช่น จำนวนชิ้นที่ผลิตได้ต่อระยะเวลา แต่ในปัจจุบัน คำว่า “Productivity” ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย หมายถึง ความสามารถในการทำงานให้ได้ผลลัพธ์คุ้มค่าหรือมากกว่าต้นทุนทั้งเวลา วัตถุดิบ และทรัพยากรบุคคลที่ใช้
ผลิตภาพ (Productivity) กับ ประสิทธิภาพ (Efficiency) ต่างกันยังไง
เมื่อกล่าวถึงคำว่า “Productivity” หรือ “ผลิตภาพ” ก็มีอีกคำหนึ่งที่ตามมาคู่กันที่อาจเกิดความเข้าใจสับสนหรือคลาดเคลื่อนได้ นั่นคือคำว่า “ประสิทธิภาพ” หรือ “Efficiency”
ลองดูคำนิยามโดยคร่าว ๆ ของทั้งสองคำนี้ ในบริบทการทำงาน
1. Efficiency หรือ ประสิทธิภาพ หมายถึง ความสามารถในการผลิตหรือการทำงานที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่มีคุณภาพเกินความมาตรฐาน อาจหมายถึง ได้งานที่ถูกต้องเรียบร้อย สวยงาม มีความประณีตสูง สร้างผลลัพธ์โดดเด่น ใช้กล่าวถึง “คุณภาพ”
ยกตัวอย่างเช่น พนักงานชงกาแฟสามารถชงกาแฟขายได้โดยไม่ผิดพลาด กาแฟมีรสชาติดี ได้มาตรฐานเหมือนกันทั้งหมด เรียกว่า “ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
2. Productivity หรือ ผลิตภาพ หมายถึง ตัวชี้วัดหรือความสามารถในการผลิตหรือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนำปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาคำนึงถึงด้วย เช่น ความเร็วในการผลิต/ทำงาน การลดต้นทุนการผลิต หรือทำแล้วได้ผลลัพธ์มากกว่ามาตรฐานหรือที่ควรจะได้ เป็นการวัดว่าใช้ต้นทุน (Input) ไปเท่านี้ สามารถสร้างผลลัพธ์ (Output) ออกมาได้มากแค่นั้น
ยกตัวอย่างเช่น พนักงานชงกาแฟหาวิธีปรับปรุงการทำงานและมีเครื่องชงกาแฟสำหรับ 2 แก้ว ที่สามารถชง 2 แก้วพร้อมกันได้ ทำให้สามารถชงกาแฟได้เร็วขึ้น ทำให้ชงกาแฟได้เร็วขึ้น 2 เท่า ด้วยเวลาเท่าเดิม
หากพูดถึงเรื่อง การเพิ่ม Productivity จึงหมายถึง การใช้ต้นทุนหรือ Input เท่าเดิมหรือน้อยลง เพื่อสร้างผลลัพธ์หรือ Output ที่มากกว่าเดิมได้
ทำไมองค์กรต่าง ๆ ถึงอยากเพิ่ม Productivity ในการทำงาน
การที่บริษัทหรือธุรกิจมี Productivity มากขึ้น นั่นหมายถึง ศักยภาพในการผลิตที่มากขึ้นซึ่งมาพร้อมกับกำไรที่มากขึ้นและต้นทุนที่ลดลง
เมื่อบริษัทสามารถผลิตงานและส่งมอบงานให้กับตลาดหรือลูกค้าได้เร็วขึ้น มีเวลาเพิ่มขึ้นในการทำงานชิ้นต่อไป จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมบริษัทต่าง ๆ ถึง ต้องการให้พนักงานเพิ่ม Productivity ขึ้น
ทั้งนี้ การเพิ่มผลิตภาพในการทำงาน ไม่ใช่แค่เรื่องของพนักงานที่ต้องปรับปรุงวิธีการทำงานเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่องค์กรหรือบริษัทก็มีส่วนสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อม ออกแบบระบบการทำงาน การสร้างแรงจูงใจ และบทบาทอื่น ๆ ที่ช่วยทำให้คนทำงานสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่และมีผลิตภาพ
Productivity ที่มาจากการร่วมมือทั้งพนักงานและองค์กรจะช่วยผลักดันให้คนทำงานมีแรงจูงใจเชิงบวกในการทำงาน ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และช่วยให้พวกเขาได้พัฒนาทักษะความสามารถอีกด้วย การเพิ่มผลิตภาพในองค์กรในรูปแบบนี้จึงถือว่า เป็นการเพิ่ม Productivity ของจริง ที่ให้ประโยชน์ทั้งกับองค์กรและคนทำงาน
Employee Satisfaction และ Firm Performance
Productivity หรือผลิตภาพในการทำงานสอดคล้องกับเรื่องของความพึงพอใจของพนักงาน (Employee Satisfaction) อย่างมีนัยสำคัญ จากบทความวิชาการ Employee Well-being, Productivity, and Firm Performance: Evidence and Case Studies ที่เก็บข้อมูลและทำวิจัยกับพนักงานถึงกว่า 1,882,131 คน จากองค์กรต่าง ๆกว่า 73 ประเทศทั่วโลก ได้ข้อค้นพบว่า
บริษัทที่พนักงานมีความพึงพอใจสูงจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพของบริษัท (Firm Performance) ได้แก่ ความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty) ผลิตภาพการทำงาน (Employee Productivity) กำไร (Profitability) และอัตราการเปลี่ยนงาน (Staff Turnover)
โดยความพึงพอใจในงานวิจัยมาจากแบบสอบถามความคิดเห็นและความรู้สึก ครอบคลุมเรื่องของสุขภาวะของพนักงานทั้งกายและใจ (Employee Well-being) เป็นหลัก
จากข้อค้นพบนี้ บริษัทหรือองค์กรที่ต้องการเพิ่ม Productivity ในการทำงาน จึงมองข้ามไม่ได้ว่า บริษัทมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้คนทำงานมีผลิตภาพการทำงานที่สูงขึ้น
บริษัทที่ต้องการเพิ่ม Productivity จึงต้องใส่ใจกับความพึงพอใจในการทำงานของพวกเขา บริษัทอาจทำแบบสอบถามเรื่องความพึงพอใจและความรู้สึกในแต่ละวัน โดยเครื่องมือที่แนะนำ คือ การใช้ Employee Assistence Program หรือ Health Application ที่คอยสอบถามความรู้สึกในการมาทำงานแต่ละวัน เช่น SAKID Application เพื่อที่บริษัทจะได้รู้ความรู้สึกและสุขภาพของพนักงาน (ที่ส่งผลโดยตรงกับผลิตภาพการทำงาน) เพื่อนำคิดหาวิธีส่งเสริมความพึงพอใจและสุขภาวะที่ดีขึ้นให้กับคนทำงาน
4 ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ Employee Satisfaction และ Productivity
ปัจจัยสำคัญทั้ง 4 ข้อนี้ คือ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจและผลิตภาพการทำงานของพนักงาน ซึ่งบริษัทและองค์กรสามารถปรับปรุงและส่งเสริมได้
1. สภาพแวดล้อมการทำงาน (Work Environment)
ตัวอย่างออฟฟิศของ Google ที่อัมสเตอร์ดัม, ประเทศเนเธอร์แลนด์
ที่มารูปภาพ archdaily.com
ลองนึกจินตนาการดูว่า หากต้องนั่งทำงานในห้องที่อากาศร้อน อากาศไม่ถ่ายเทปลอดโปร่ง มีข้าวของวางระเกะระกะ โต๊ะ-เก้าอี้ที่นั่งทำงานนั่งไม่สบาย บรรยากาศการทำงานมีเสียงโทรศัพท์ดังรบกวนตลอดเวลา สภาพแวดล้อมการทำงานแบบนี้ คงไม่เป็นผลดีต่อการจดจ่อทำงานแน่ บริษัทชั้นนำจึงให้ความสำคัญกับการออกแบบและตกแต่งออฟฟิศ
ยกตัวอย่างเช่น ออฟฟิศของ Google ที่ขึ้นชื่อเรื่องบรรยากาศการทำงานที่โดดเด่น มีความเป็นกันเอง ส่งเสริมการร่วมมือกันและความคิดสร้างสรรค์ ออฟฟิศจึงเต็มไปด้วยสีสันและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ดูสนุกสนาน
2. กระบวนการทำงาน (Processes)
กระบวนการทำงาน หมายถึงลำดับขั้นตอนในการทำงานงานหนึ่งให้สำเร็จลุล่วง หากวางแผนและลำดับความสำคัญของการทำงานชิ้นย่อย ๆ แต่ละชิ้นได้เป็นอย่างดี ก็จะช่วยลดระยะเวลาในการรอหรือความลังเลในการตัดสินใจลงมือทำ
บริษัทหรือองค์กรที่ต้องการมีผลิตภาพการทำงานที่สูงจึงมักหาทางปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะหาและลดขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น จัดสรรทรัพยากรการทำงานใหม่ เช่น จ้างคนอื่นทำงาน (Outsourcing) ลำดับขั้นตอนใหม่ หรือการทำเทคโนโลยี เช่น Collaboration tools หรือ Productivity tools มาใช้เพื่อให้กระบวนการทำงานทั้งหมดสั้นที่สุดและงานสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
3. สุขภาวะที่ดีของพนักงาน (Employee Wellness)
สุขภาวะของพนักงานส่งผลโดยตรงต่อความรู้สึกพึงพอใจและผลิตภาพการทำงาน โดยจากงานวิจัย Forrester’s Q3 2022 US Future of Work Survey พบว่า บริษัทที่พนักงานมีสุขภาพกายและใจที่ดีกว่า มีความรู้สึกและทัศนคติที่ดีต่อการทำงานมากกว่า 2 ถึง 3 เท่า
หากต้องการเพิ่ม Productivity และ Employee Satisfaction บริษัทจึงควรให้ความสำคัญกับการดูแลและส่งเสริมสุขภาพพนักงาน ไม่ว่าจะผ่านนโยบาย สวัสดิการ กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพต่าง ๆ หรือใช้เครื่องมือ/แอปที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ
4. วัฒนธรรมการทำงาน (Work Culture)
วัฒนธรรมการทำงาน หมายถึง รูปแบบ ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือสิ่งที่ตกลง/เข้าใจว่า อะไรควรทำ ไม่ควรทำ ซึ่งวัฒนธรรมการทำงานที่ดี (Positive Working Culture) เช่น การส่งเสริมการเรียนรู้ ลองผิดลองถูก วัฒนธรรมการเข้าอกเข้าใจ การส่งเสริมจิตสำนึกความเป็นเจ้าของ (Ownership) ฯลฯ ส่งผลสำคัญต่อทัศนคติและผลิตภาพการทำงานของพนักงาน
ถ้าอยากเพิ่ม Productivity ให้องค์กร ทำยังไงได้บ้าง?
1. ทบทวนกระบวนการทำงานและปรับปรุง
ทบทวนกระบวนการทำงานว่ามีกระบวนการไหนที่ไม่จำเป็นและควรตัดออก ทบทวนระบบการส่งงาน-ตรวจงาน-ลำดับการอนุมัติ ว่าสามารถลดขั้นตอนไหนลงได้บ้าง ทบทวนลำดับการทำงานต่าง ๆ ว่า งานชิ้นไหนที่ควรทำเสร็จก่อนเพื่อให้งานทั้งโปรเจกต์ไหลลื่น หรือพิจารณาเลือกจ้างคนภายนอก/ผู้เชี่ยวชาญให้ทำงานให้ (Outsourcing)
2. ปรับปรุงวัฒนธรรมการทำงาน
ส่งเสริมวัฒนธรรมเชิงบวกในการทำงาน เช่น การชื่นชมความทุ่มเทพยายาม ส่งเสริมความเป็นทีม ส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารโดยตรง สร้างวัฒนธรรมการให้ฟีดแบกหรือข้อคิดเห็น ให้โอกาสคนทำงานได้ลองผิดลองถูก ฯลฯ
3. ส่งเสริมจิตสำนึกความเป็นเจ้าของ (Ownership)
การสร้างความรู้สึก “เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ” จะช่วยให้พนักงานรู้สึกว่า สิ่งนี้คือผลงานของเขาที่ต้องรับผิดชอบ ช่วยให้พวกเขาอยากจะทำได้ดี ซึ่งการส่งเสริมความรู้สึกนี้ บริษัทสามารถช่วยส่งเสริมได้ผ่านการแบ่งปันเป้าหมาย วิสัยทัศน์ ให้อำนาจและอิสระในการทำงาน
4. ปรับสภาพแวดล้อมการทำงาน
จัดระเบียนสถานที่ทำงานให้ปลอดโปร่งผ่านหลักการ 5 ส. มีแสงสว่างเพียงพอ อากาศถ่ายเท ปรับอากาศให้ไม่ร้อนหรือหนาว มีมาตรการควบคุมการใช้เสียง รวมไปถึงการจัดที่นั่งทำงานให้ถูกหลักสรีรศาสตร์ โต๊ะทำงานได้ความสูงที่พอดี เลือกใช้เก้าอี้ Ergonomic
5. ส่งเสริมสุขภาพกายและใจ
ส่งเสริมสุขภาพพนักงานด้วย SAKID
แอป Employee Assistance Program
บริษัทส่งเสริมให้พนักงานมีสุขภาพกายและใจที่ดี ผ่านนโยบายของบริษัท การออกแบบสวัสดิการพนักงานที่ส่งเสริมสุขภาพ เช่น สิทธิตรวจสุขภาพประจำปี มีประกันสุขภาพ ออกแบบกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพภายในองค์กร หรือสวัสดิการที่ช่วยให้พนักงานดูแลตัวเองได้ดีขึ้นอย่าง SAKID แอปส่งเสริมสุขภาพให้กับพนักงานที่คอย “สะกิด” ให้พนักงานหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพ พร้อมกับมีนักจิตวิทยา นักควบคุมอาหาร และนักวิทยาศาสตร์การกีฬา ที่พนักงานสามารถทักไปขอคำแนะนำส่วนตัวได้อีกด้วย (ดูฟีเจอร์ทั้งหมดของ SAKID)
6. เทรนนิ่งและการฝึกอบรม เสริมความรู้การทำงาน
การเพิ่มทักษะให้กับคนทำงานเป็นอีกวิธีที่ช่วยเพิ่ม Productivity ในการทำงานได้ บริษัทสามารถส่งเสริมให้พัฒนาทักษะความสามารถได้ผ่านการจัดการอบรวมหรือเทรนนิ่งเพื่อเพิ่มความรู้ความสามารถให้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึง การมีงบประมาณอบรม (Training Budget) สำหรับให้พวกเขาไปลงทุนเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่พวกเขาสนใจ เมื่อคนทำงานได้เทคนิคหรือวิธีการทำงานที่ดียิ่งขึ้น ก็ย่อมนำมาซึ่งผลิตภาพการทำงานที่สูงขึ้น
7. นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
วางแผนและมอบหมายงานผ่าน Productivity Tool อย่าง Asana
พิจารณาเลือกโปรแกรม เครื่องมือ หรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้สามารถทำงานได้คล่องตัวหรือไหลลื่นยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เครื่องมือสำหรับการสื่อสารอย่าง Slack แทนการใช้ LINE เพราะสามารถส่งและเก็บไฟล์ในระบบได้ตลอด ใช้โปรแกรมวางแผนงานหรือ Productivity Tools อย่าง Asana วางแผนและมอบหมายงานได้สะดวกและชัดเจน หรือเลือกใช้โปรแกรมส่งงานที่สามารถคอมเมนต์หรือส่งให้รีวิวแบบเรียลไทม์ได้
สรุป
การเพิ่ม Productivity ไม่ใช่แค่เรื่องของพนักงานที่ต้องขวนขวายพัฒนาศักยภาพการทำงานของตัวเองเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่บริษัท/องค์กรสามารถเอง ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การมุ่งเพิ่มผลิตภาพการทำงานของบริษัท อาจเป็นผลเสียต่อการทำงานได้ หากไม่ระวังให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการกดดันให้ทำงานให้เสร็จรวดเร็วหรือหนักเกินกว่าปกติ การใช้ระบบการวัดผลลัพธ์ การตั้งเป้าหมายที่สูงเกินความจำเป็นเพื่อผลักดันพนักงาน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้อาจส่งลบต่อความพึงพอใจและความภาคภูมิใจในภายหลัง
วิธีที่ดีกว่าคือ การส่งเสริมผลิตภาพผ่านการสร้างวัฒนธรรมองค์กร การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ และการดูแลสุขภาพกายและใจของพนักงานให้มีพลังเต็มเปี่ยมในการทำงาน ซึ่งบริษัทสามารถเริ่มต้นดูแลสุขภาวะอย่างรอบด้านทั้ง อาหาร การออกกำลังกาย อารมณ์ และสังคม ให้พวกเขาได้ ผ่านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ SAKID ที่คอยช่วยสอบถามความรู้สึกและส่งเสริมสุขภาพให้กับพนักงาน เป็นการส่งเสริม Productivity ผ่านการที่บริษัทใส่ใจดูแลคนทำงาน
บทความที่น่าสนใจ

Workshop ดูแลสุขภาพใจ #workshop3อ #อารมณ์
ดูแลสุขภาพใจพนักงาน ด้วยการให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง การสำรวจตรวจเอง เรื่องจิตวิทยาและอารมณ์ , Workshop การจัดการความเครียด , Health talk Work life balance หรือ Burn out โดยนักจิตวิทยาที่มีประสบการณ์

WORKSHOP Cooking class สลัดโรล
กิจกรรม Cooking class สลัดโรล
วันที่ 20 สิงหาคม 2567 SAKID ได้จัดกิจกรรม Cooking class สลัดโรล ที่บริษัท CBRE โดยพนักงานได้เข้าร่วมจำนวน 40 คน ซึ่งนักกำหนดอาหารวิชาชีพ ได้เป็นผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบและมีทริคการดูแลสุขภาพด้านอาหารสำหรับชาวออฟฟิศให้เล่นเกมสุขภาพพร้อมรับของรางวัลกันอีกด้วย คลาสสอนทำสลัดโรลจะแบ่งทำเป็น 2เมนูคือ สลัดโรลเต้าหู้ กับ สลัดโรลปลาทูนึ่ง โดยทั้งสองเมนูจะใช้รสชาติจากผักและสมุนไพรเป็นหลักเพื่อสุขภาพที่ดีและน้ำจิ้มสูตรโซเดียมต่ำ อร่อยได้ง่ายๆ และสามารถนำกลับไปทำเองได้ที่บ้านได้

Workation คืออะไร จะเลือกที่เที่ยวพร้อมกับทำงานอย่างไรดี
Workation ต้องทำอย่างไรบ้าง? แนะนำทิปสำหรับคนทำงาน HR และองค์กร พร้อมข้อดี-ข้อเสียของ Workation จะเลือกสถานที่ Workation ที่ไหนดี ได้ทั้งเที่ยวและทำงาน

Well being the future hr trends
การให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีในที่ทำงานไม่ใช่แค่เทรนด์ที่ผ่านไปเท่านั้น แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างมากขึ้นในมุมมองของธุรกิจและสังคมต่อบทบาทของการทำงานและความสำคัญของสวัสดิการของพนักงาน ปัจจัยหลายอย่างมีส่วนทำให้การเน้นเรื่องสุขภาพและสภาพสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ดีเพิ่มมากขึ้น

7 วิธีดูแลสุขภาพจิตใจพนักงาน เพื่อสร้างความสุขและประสิทธิภาพในการทำงาน
ในโลกของการทำงานยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกดดัน ปัญหาสุขภาพจิตใจของพนักงานกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกองค์กรต้องให้ความสนใจ จากการสำรวจของ WHO พบว่ากว่า 264 ล้านคนทั่วโลกต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้า และอีกกว่า 284 ล้านคนมีความวิตกกังวลผิดปกติ ซึ่งนอกจากจะส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตพนักงานแล้ว ยังบั่นทอนประสิทธิภาพการทำงานไปด้วย (World Health Organization, 2022) และนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพจิตมีหลายรูปแบบ ได้แก่ ภาวะเครียดเรื้อรัง ความวิตกกังวล ภาวะหมดไฟ โรคซึมเศร้า โดยปัญหาสุขภาพจิตเหล่านี้มีสาเหตุได้หลากหลายด้าน ทั้งจากลักษณะงาน ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน การบริหารจัดการ รวมถึงปัญหาส่วนตัว (Pfeffer, 2018)

มาตรฐานโรงอาหาร สำหรับองค์กร มีอะไรบ้าง
โรงอาหารคือหัวใจสำคัญของสุขภาพพนักงานในองค์กร โดยเฉพาะในโรงงานหรือสถานประกอบการที่มีพนักงานจำนวนมาก การดูแลคุณภาพอาหารไม่ใช่แค่เรื่อง “อร่อย” แต่คือการลงทุนระยะยาวในสุขภาพ ผลผลิต และความยั่งยืนขององค์กร จากข้อมูลของกรมอนามัย (2566) พบว่า พนักงานที่รับประทานอาหารในโรงอาหารที่ผ่านเกณฑ์สุขาภิบาลมีความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินอาหารและโรคเรื้อรังต่ำกว่าถึง 40% เมื่อเทียบกับโรงอาหารทั่วไป