ออฟฟิศซินโดรม
URL Copied!

เข้าใจ “ออฟฟิศซินโดรม” พร้อมวิธีป้องกันเบื้องต้นที่ทุกคนควรรู้

ออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่แทบจะเรียกได้ว่า “เป็นโรคประจำตัว” ของพนักงานออฟฟิศกันไปแล้ว ซึ่งสาเหตุก็คงหนีไม่พ้นความเครียดในการทำงาน อิริยาบถในการทำงานท่าเดิม ๆ เป็นเวลานาน และวิถีชีวิตที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว นำมาซึ่งอาการปวดตึงเมื่อยล้าต่าง ๆ ที่หลายคนคุ้นเคยกันดี

 

อย่างไรก็ตาม แม้อาการปวดเมื่อยออฟฟิศซินโดรมจะไม่ได้ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิต อาการออฟฟิศซินโดรมก็ไม่ใช่ปัญหาที่ควรจะละเลยเพิกเฉย เพราะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและการทำงานโดยตรง อีกทั้งอาการออฟฟิศซินโดรมยังเสี่ยงพัฒนาเป็นปัญหาสุขภาพจิตและอาการบาดเจ็บของโครงสร้างกระดูกได้

 

เมื่อออฟฟิศซินโดรมเป็นเรื่องใกล้ตัวและส่งผลกระทบได้มากเพียงนี้ บทความนี้ จึงอยากชวนทั้งเหล่ามนุษย์ออฟฟิศและองค์กรเข้ามาทำความรู้จักโรคนี้กันให้ลึกซึ้งขึ้น ถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค ผลกระทบ และวิธีป้องกันเบื้องต้นกัน 

 

ออฟฟิศซินโดรม คืออะไร 

 

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrom) คือ โรคที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) ซึ่งอาจจากการใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำ ๆ เป็นเวลานานและต่อเนื่อง จนทำให้กล้ามเนื้อเกิดการอักเสบ ทำให้ผู้ที่มีอาการรู้สึกปวด เมื่อย เกร็ง ตามกล้ามเนื้อที่มีการใช้งาน ในปัจจุบัน “ออฟฟิศซินโดรม” มีความหมายที่กว้างขึ้น ครอบคลุมอาการปวดกล้ามเนื้อไล่ลงมาตั้งแต่คอ หลัง บ่า ไหล่ แขน หรือแม้กระทั่งข้อมือ รวมไปถึงอาการปวดศีรษะและกระบอกตาจากรูปแบบการทำงานออฟฟิศ

 

อาการของโรคออฟฟิศซินโดรม ได้แก่ อาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อต่าง ๆ คอ ข้อนิ้ว-ข้อมือ ปวดตา ปวดศีรษะ ฯลฯ หากเพิกเฉย ปล่อยให้มีอาการเรื้อรัง ไม่เข้ารับการรักษา อาการต่าง ๆ เหล่านั้นอาจพัฒนาลุกลามเป็นอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อหรือกระดูกที่ร้ายแรงขึ้นได้ รวมไปถึง ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตอื่น  ๆ ตามมา เช่น อาการไมเกรน เครียดเรื้อรัง อาการหมดไฟหรือเบิร์นเอาต์ (Burnout) กระทบต่อการใช้ชีวิต

 

อาการของโรคออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง

 

 

มีอาการแบบไหนบ้างถึงเรียก “ออฟฟิศซินโดรม” เช็กอาการด้านล่างนี้

 

– ปวดศีรษะ

 

– ปวดหลัง 

 

– ปวดคอ เมื่อยคอ

 

– ปวด-ตึงบ่าและไหล่

 

– ปวดตา ปวดรอบดวงตา 

 

– สายตาเบลอ ตาพร่า

 

– ปวดขา เหน็บชา

 

– ปวดข้อมือ นิ้วล็อก

 

โรคที่จะตามมาหากปล่อยให้เรื้อรัง

 

– กล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง (Myofascial pain syndrome)

 

– เอ็นรัดข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท (Carpal tunnel syndrome)

 

– ความผิดปกติของความตึงตัวของเส้นประสาท (Nerve tension)

 

– กล้ามเนื้อบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกอักเสบ (Tennis elbow)

 

– นิ้วล็อก (Trigger finger)

 

– เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ (Tendinitis)

 

– ปวดหลังจากท่าทางผิดปกติ (Postural back pain)

 

– หลังยึดติดในท่าแอ่น (Back dysfunction)

 

นอกจากนี้ อาการของโรคออฟฟิศซินโดรมยังสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพจิตต่าง ๆ เช่น โรคเครียดเรื้อรัง (Chronic stress) อาการหมดไฟ (Burnout) อาการไมเกรน (Migraine) ฯลฯ 

 

พฤติกรรมเสี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง

 

สาเหตุสำคัญของโรคออฟฟิศซินโดรมมาจากการนั่งทำงานอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน กล้ามเนื้อไม่ได้เคลื่อนไหวทำให้เกิดอาการเกร็ง ปวดเมื่อย ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการนั่งผิดท่าและพฤติกรรมอื่น ๆ เช่น

 

– การนั่งไขว่ห้าง เพราะการนั่งท่านี้เป็นเวลานานจะทำให้ขาข้างใดข้างหนึ่งต้องรับน้ำหนักขาจากอีกข้างเป็นเวลานาน นอกจากนี้ ท่านั่งไขว่ห้างยังทำไม่ส่งเสริมให้กระดูกสันหลังอยู่ในตำแหน่งปกติ

 

– นั่งหลังค่อม ก้มไปข้างหน้า หรือแอ่นหลังไปข้างหลัง ทำให้กระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อคอ บ่า และหลังรับน้ำหนักศีรษะและลำตัวเพิ่มมากขึ้นตามองศาที่ก้มหรือแอ่น

 

– นั่งไม่เต็มก้น ครึ่งก้น หรือนั่งขอบที่นั่ง ทำไมน้ำหนักของลำตัวไม่กระจาย บริเวณเนื้อก้นที่นั่งทับต้องรับน้ำหนักมากกว่าปกติ อีกทั้ง หลังไม่อะไรรองรับ ทำให้อาจเผลอแอ่นหรือค่อมหลังโดยไม่รู้ตัว

 

– นั่งหรือยืนกอดอกเป็นเวลานาน ทำให้ยกไหล่ เกร็งบ่า โดยไม่รู้ตัว จนเกิดอาการเมื่อย

 

– ยืนโดยทิ้งน้ำหนักไว้ด้านหนึ่ง ทำให้ขาข้างใดข้างหนึ่งต้องรับน้ำหนักตัวข้างเดียว แทนที่จะกระจายอย่างเท่าเทียม ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงไม่ดี เกิดอาการชาหรือตะคริว

 

– นั่งบนเตียงเพื่ออ่านหนังสือหรือดูโทรทัศน์ ทำให้เผลอก้มศีรษะ โน้มตัว หรือเกร็งหัวไล่ ท่อนแขน ข้อมือ เพื่อถือหนังสือหรือแล็ปท็อป

 

– สะพายกระเป๋าของคุณบนไหล่ข้างหนึ่ง ทำให้เกร็งบ่าและไหล่

 

– การสวมรองเท้าส้นสูงมากกว่า 1.5 นิ้ว เป็นประจำและเป็นระยะเวลานาน ทำให้กระดูกสันหลังผิดแนวและทำให้ปวดหลังได้

 

วิธีป้องกันออฟฟิศซินโดรมเบื้องต้น

 

 

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

 

– ปรับท่านั่งให้ถูกต้อง เช่น นั่งหลังตรง คอตั้งตรงไม่โน้มไปข้างหน้าหรือแอ่นไปข้างหลัง เท้าวางราบกับพื้น เข่าวางงออย่างเป็นธรรมชาติ นั่งเต็มเบาะ [อ่านวิธีปรับ “ท่านั่งทำงานที่ถูกต้อง” ในบทความนี้] 

 

– หาเวลาพักเบรกจากงาน ยืดเหยียด ลุกไปดื่มน้ำหรือลุกจากที่นั่งให้บ่อยขึ้น ยืดเหยียดกับเก้าอี้หรือโต๊ะ หรือเดินผ่อนคลายเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถทุก ๆ ชั่วโมง 

 

– พักเบรกสายตา พักสายตาจากหน้าจอทุก 20 – 30 นาที โดยให้มองออกไปที่ไกล ๆ พื้นที่สีเขียว หรือหลับตาประมาณ 30 – 60 วินาที 

 

– ออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อ (Weight training) เน้นการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อแก่นกลางลำตัวให้ช่วยพยุงหลังและลำตัว กล้ามเนื้อหลัง บ่า และไหล่ ช่วยเพิ่มความทนทาน เมื่อมีกล้ามเนื้อก็จะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณเหล่านั้นได้ดีขึ้น 

 

ปรับปรุงสถานที่ทำงานหรือออฟฟิศ

 

– การเลือกโต๊ะ โต๊ะทำงานควรเลือกที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป ให้พอดีที่เราสามารถวางแขนราบไปกับโต๊ะได้โดยที่ไหล่ไม่ยก รวมไปถึง การวางหน้าจอให้ได้ระดับพอดีกับการมอง 

 

– การเลือกเก้าอี้ เลือกเก้าอี้ที่สามารถปรับระดับความสูงได้ เบาะไม่นิ่มเกินไป เพื่อให้น้ำหนักกระจายตัว มีพนักพิงรองรับหลัง ความลึกของที่นั่งต้องไม่มากกว่าช่วงขา เพื่อให้ทิ้งเข่าลงมาได้ตามธรรมชาติ 

 

– การตั้งคอมพิวเตอร์ ควรตั้งหน้าจอให้สามารถมองเห็นได้ โดยที่ไม่ต้องก้มหรือเงยหน้าเพื่อมอง ระยะจากจอภาพถึงตาผู้ใช้ควรอยู่ระหว่าง 0.4-0.50 เมตร ส่วนคีย์บอร์ดและเมาส์ให้วางอยู่ในระดับต่ำลงเล็กน้อย ขณะพิมพ์งานจะได้ไม่ต้องยกไหล่มากเกินไป

 

การจัดโต๊ะทำงานและสถานที่ทำงาน จัดโต๊ะหรือที่นั่งทำงานให้มีแสงสว่างเพียงพอ เก็บสายไฟที่รุงรังให้เรียบร้อย มีพื้นที่วางแขนหรือข้อมือ ทำความสะอาดบริเวณทำงาน จัดให้เรียบร้อย และหยิบของต่าง ๆ ใช้งานได้โดยสะดวก ช่วยส่งเสริมให้สมองปลอดโปร่งและการทำงานลื่นไหล

 

บริษัทจะช่วยพนักงานให้ห่างไกลจากออฟฟิศซินโดรมได้อย่างไร

 

นอกจากออฟฟิศซินโดรมส่งผลกระทบทั้งกับตัวคนทำงานเองแล้ว แน่นอนว่า ก็ส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของบริษัท/องค์กรด้วย เพราะหากคนทำงานมีอาการออฟฟิศซินโดรมตั้งแต่อาการที่ไม่รุนแรงมากอย่างปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ ไปจนถึงปัญหาสุขภาพจิตที่ตามมา ก็ทำให้คนทำงานรู้สึกเหนื่อยล้า หมดกำลังใจ รู้สึกไม่อยากทำงาน หรือทำให้คิดงานที่สร้างสรรค์ไม่ค่อยออก 

 

แล้วบทบาทของบริษัทหรือองค์กร สามารถทำอะไรได้บ้าง? 

 

 

– สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานด้วยการยศาสตร์ (Ergonomic workplace) เลือกใช้เก้าอี้ออฟฟิศที่รองรับสรีระได้ดี (Ergonomic chair) เลือกใช้โต๊ะทำงานได้ความสูงที่พอดี  อาจมีโต๊ะยืนทำงานเป็นตัวเลือกสำหรับปรับเปลี่ยนอิริยาบถการทำงาน 

 

– จัดเวลา/สนับสนุนให้พักเบรก เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถจากการนั่งทำงานนาน ๆ อาจชักชวนกันทำกิจกรรมยืดเหยียดร่างกาย แข่งขันทำท่าแพลงก์ (Plank) ตั้งแต่ 1 นาที ขึ้นไป หรือมีมื้อว่างสุขภาพ เช่น ผลไม้ กาแฟดำ 

 

– มีมุมพักผ่อนเปลี่ยนอิริยาบถในออฟฟิศ เช่น มุมโซฟาพักผ่อน มุมยืนทำกาแฟ สวนขนาดย่อมสุดอากาศ พื้นที่สำหรับบริหารร่างกาย ฯลฯ

 

– Stand-up meeting หรือการยืนประชุม อาจเป็นการสอบถามปัญหาหรืออัปเดตงานระหว่างวันง่าย  ๆ โดยเลือกช่วงสายหรือบ่ายของวัน เพื่อให้เปลี่ยนอิริยาบถ

 

– จัดอบรมหรือจัดเซสชันเล็ก ๆ เพื่อให้ความรู้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีนั่งทำงานที่ถูกต้อง ท่าบริหารร่างกายง่าย ๆ สำหรับทำทุกวัน ความรู้เรื่องสุขภาวะทั่วไปและการดูแลตัวเอง 

 

จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพในออฟฟิศ เช่น การแข่งขันนับจำนวนก้าวเดินแบบทีมในแต่ละวัน​ กิจกรรมออกกำลังกายในออฟฟิศ กิจกรรมยืดเหยียดร่างกายที่บ้าน ฯลฯ

 

– สะกิดให้พนักงานเคลื่อนไหวร่างกาย ด้วยโปรแกรมสุขภาพ ใช้แอปฯ SAKID โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพพนักงาน “สะกิด” ให้พนักงานดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น ผ่านภารกิจดูแลสุขภาพต่าง ๆ เช่น เดินขึ้นบันได เดินให้ครบ 10,000 ก้าว ไปออกกำลังกาย ฯลฯ ไม่ว่าจะทำงานที่ออฟฟิศหรือ Remote-working บริษัทก็สามารถดูแลพนักงานได้

 

มีสวัสดิการสุขภาพพนักงานต่าง ๆ ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและระดับความพึงพอใจในการทำงาน เช่น วันลาป่วย-ลาพักร้อนที่เหมาะสม วงเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลหรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง (Well-being budget) ฟิตเนสฟรีหรือส่วนลดฟิตเนส ฯลฯ

 

สรุป

 

ปัญหาออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่ปัญหาของคนทำงานเพียงฝ่ายเดียว เพราะส่งผลต่อประสิทธิภาพและ Proformance การทำงานของบริษัท/องค์กรโดยตรง การที่บริษัทมีสวัสดิการหรือจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งเสริมให้ออฟฟิศห่างไกลจากโรค “ออฟฟิศซินโดรม” จึงช่วยให้คนทำงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามมาซึ่งความพึงพอใจในการทำงานและผลลัพธ์การที่งานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

 

จากไอเดียแก้ปัญหาสำหรับองค์กรที่นำเสนอในบทความนี้ ก็มีทั้งวิธีที่ช่วยจัดการกับสาเหตุที่มาจากพฤติกรรมและปัจจัยภายนอก หากบริษัทของคุณต้องการเริ่มต้นช่วยส่งเสริมสุขภาวะที่ดีให้พนักงานห่างไกลออฟฟิศซินโดรม แอปฯ SAKID สามารถช่วยคุณได้ทันที ด้วยการ “สะกิด” มอบภารกิจดูแลสุขภาพประจำวันให้กับพนักงาน กระตุ้นให้พวกเขาใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้นด้วยคอยน์รางวัลที่สามารถแลกรางวัลจริง ๆ ได้ 

 

ทำความรู้จัก SAKID และฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้ ที่นี่

บทความที่น่าสนใจ

ergonomics คือ

Ergonomics คืออะไร รู้จักกับการยศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีในการทำงาน

ออฟฟิศไหนกำลังประสบปัญหาปวดหลังกันทั้งออฟฟิศโปรดมาทางนี้! ชวนมาทำความรู้จัก Ergonomics หรือ การยศาสตร์ ศาสตร์แห่งการทำงานที่ช่วยให้พนักงานมีสุขภาพดีด้วย…

อ่านต่อ »
เมื่อคนในองค์กรน้ำหนักเกิน-01-SAKID

ทำอย่างไร เมื่อคนในองค์กรน้ำหนักเกิน

 ปัจจุบันในประเทศไทยพบว่าแนวโน้มภาวะ น้ำหนักเกิน และ ภาวะอ้วนเพิ่งสูงขึ้น ซึ่งสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป ร่วมกับ activity ที่ลดลง เป็นตัวส่งเสริมให้เรามีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะพนักงงาน office อย่างเราๆ ที่ Activity นั้นแสนจะน้อยนิด ส่วนใหญ่ก็นั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ จนหลายคนเกิดปัญหาเรื่อง Office syndrome ตามมา

อ่านต่อ »
Sakid thumbnail -7 สัญญาณไม่แฮปปี้

7 สัญญาณพนักงานไม่แฮปปี้ที่ไม่ควรมองข้าม

ความสุขในที่ทำงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความสำเร็จขององค์กร แต่เมื่อพนักงานเริ่มขาดรอยยิ้มในการทำงาน ผลกระทบด้านลบที่ตามมาอาจสร้างความเสียหายให้กับผลการดำเนินงานได้อย่างมหาศาล บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 7 สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงความไม่แฮปปี้ของพนักงานในองค์กร ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม พร้อมแนะนำวิธีการช่วยเหลือและจัดการกับปัญหาเหล่านี้ เพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปี่ยมไปด้วยความสุข และนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

อ่านต่อ »
Cover-Pmat-2023-Sakid

HR tech Thailand 2023

กิจกรรมออกบูธ HR tech Thailand 2023

วันที่ 14-15 มิถุนายน 25656 SAKID  ได้ออกบูธประชาสัมพันธ์แอพลิเคชั่น “สะกิด” ในงาน HR Tech เพื่อแนะนำให้รู้จักกับแอพว่าใช้ออกแบบกิจกรรมสุขภาพอย่างไร และเปิดให้ทดลองใช้ ฟรี 7 วัน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสำหรับองค์กรที่ถ่ายรูปคู่น้องสะกิดลุ้นรับ Workshop นักกำหนดอาหารฟรี 1ชม. ได้ทั้งความรู้สุขภาพและภารกิจสุขภาพดีสนุก ๆ จาก สะกิดกันได้เลย

อ่านต่อ »
WFH-ในหน้าร้อนอย่างไร-สบายกายและกระเป๋า-Sakid

WFH ในหน้าร้อนอย่างไร สบายกายและกระเป๋า

สภาวะฝุ่นPM 2.5 ซึ่งเป็นสถานการณ์วิกฤติมลพิษทางอากาศที่หลายพื้นที่ในประเทศไทยกำลังเผชิญมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ที่วัดค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index : AQI) สูงถึง 372 ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2566 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับอันตรายมีผลกระทบต่อสุขภาพ จังหวัดเชียงใหม่จึงกลายเป็นเมืองที่มีอากาศแย่อันดับหนึ่งของโลก จนผู้ว่าฯต้องออกประกาศขอความร่วมมือทุกหน่วยงาน Work from Home

อ่านต่อ »

Well being the future hr trends

การให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีในที่ทำงานไม่ใช่แค่เทรนด์ที่ผ่านไปเท่านั้น แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างมากขึ้นในมุมมองของธุรกิจและสังคมต่อบทบาทของการทำงานและความสำคัญของสวัสดิการของพนักงาน ปัจจัยหลายอย่างมีส่วนทำให้การเน้นเรื่องสุขภาพและสภาพสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ดีเพิ่มมากขึ้น

อ่านต่อ »
Burnout
URL Copied!

“Burnout” องค์กรควรทำอย่างไรเมื่อพนักงานหมดไฟ

Burnout หรือ ภาวะหมดไฟในการทำงาน กลายเป็นหนึ่งในภัยเงียบใหม่ที่หลายบริษัทต้องพบเจอ ซึ่งส่งผลกระทบทั้งในส่วนของสุขภาพกายและสุขภาพจิตระยะยาว โดยส่วนมากมักเกิดความเครียดเรื้อรัง ความซ้ำซากของเนื้องาน ไปจนถึงความสัมพันธ์กับผู้คนในองค์กร

 

อาการหมดไฟนี้ไม่เพียงส่งผลแค่ในส่วนของตัวพนักงานเท่านั้น แต่อาจกระทบไปยังภาพรวมของบริษัทได้ ทำให้แผนกทรัพยากรมนุษย์ (HR) มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการคิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหาเบื้องต้นสำหรับพนักงานเหล่านี้ อาการ Burnout สามารถสังเกตได้อย่างไรบ้าง องค์กรควรมีบทบาทอย่างไรเมื่อพนักงานเกิดหมดไฟ บทความนี้มีคำตอบให้คุณ

 

Burnout ภัยเงียบขององค์กรที่ทุกคนควรรู้จัก

 

Burnout ไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับวัยทำงาน แต่ภาวะหมดไฟนี้ถูกพูดถึงมาเนิ่นนานเมื่อเหล่าพนักงานมีปัจจัยต่าง ๆ เข้ามากระทบจนทำให้ประสิทธิภาพการทำงานน้อยลง คล้ายกับเปลวไฟที่หมดพลัง

 

ผลสำรวจจาก Asana ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจัดการงานชื่อดังที่วิจัยพนักงาน 10,000 คนจากทั่วโลกในปี 2021 พบว่า 70% ของคนเหล่านั้นมีอาการ Burnout จากการทำงาน โดยมีสัดส่วนของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

 

ผลสำรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของอาการ Burnout จาก Deloitte ระบุว่าผู้คนที่มีอาการ Burnout ราว 36% มีขวัญกำลังใจในการทำงานที่ลดลง 30% ต้องการมีส่วนร่วมกับงานที่ทำอยู่ให้น้อยลง และ 57% ของผู้ที่ตอบแบบสอบถาม ระบุชัดว่าต้องการลาออกเพื่อแสวงหาสถานที่ทำงานที่มีคุณภาพต่อชีวิตมากยิ่งขึ้น

 

จากตัวเลขทั้งหมด จึงชัดเจนว่าอาการ Burnout หรือ หมดไฟ ได้กลายเป็นภัยเงียบที่ HR ต้องพึงระวัง ไม่ใช่แค่การสังเกตเพื่อนร่วมงาน พี่น้องในทีม แต่รวมถึงการสังเกตตัวเอง ดูแลสุขภาพจิตตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งอาการ Burnout ที่สามารถพบได้ทั่วไปมีดังนี้

 

 

การ Burnout 3 ประเภทที่พบได้ทั่วไป

 

1. Overload Burnout

 

ภาวะ Overload Burnout หรืออาการหมดไฟจากการแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างมากจนเกินไป เป็นหนึ่งในภาวะที่พบได้มากที่สุดสำหรับผู้ที่ทำงานหนักมากจนเกินไป และงานดังกล่าวส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ จนท้ายที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นอาการหมดไฟนั่นเอง

 

Overload Burnout นั้นส่งผลกระทบต่อบริษัทมากกว่าที่คุณคิด เพราะโดยส่วนมากอาการดังกล่าวอาจเกิดกับพนักงานที่ขยัน มีความรับผิดชอบสูง รวมถึงมีบทบาทสำคัญในบริษัท ซึ่งแน่นอนว่าหากตัวพนักงานเกิดอาการดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพงาน ไปจนถึงขวัญกำลังใจของคนในทีม จึงควรมีการระมัดระวังในการบริหารจัดการงาน ไม่ให้งานไปกระจุกที่ใครคนใดคนหนึ่งมากเกินไป รวมถึงเว้นช่องว่าง สร้างความยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับการทำงานยุคใหม่เป็นสำคัญ

 

2. Under-Challenged Burnout

 

ภาวะหมดไฟเพราะสิ่งต่าง ๆ หมดความท้าทาย หรือ Under-Challenged Burnout มักเกิดจากพนักงานที่พบว่างานของตัวเองมีความซ้ำซากจำเจ ไม่มีความท้าทาย จนสูญเสียเป้าหมายและ “ไฟ” ในการทำงานไปหมดสิ้น

 

หากเกิดภาวะดังกล่าวย่อมแสดงว่าภายในองค์กรของเราอาจมีการมอบหมายงานที่ไม่ตรงตามตำแหน่ง มีงานที่ง่ายเกินไป ทางฝ่าย HR อาจสนับสนุนด้วยการเพิ่มโอกาส หรือมอบหมายหน้าที่ใหม่ ๆ ให้พนักงานคนนั้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดไฟในการทำงาน หรือความต้องการในการค้นหาสิ่งใหม่ ๆ มากขึ้น

 

 

3. Neglect Burnout

 

ภาวะดังกล่าวสามารถแปลได้ตรงตัวคือ “การหมดไฟเพราะถูกละเลย (Neglect)” จากสถานที่ทำงาน มักเกิดกับพนักงานที่ขาดคำแนะนำ และความช่วยเหลือจากคนในทีม จนทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างที่ต้องการ หรือตรงตามเป้าหมาย และท้ายสุดแล้วก็กลายเป็นความชินชาและหมดไฟในที่สุด 

 

หากเกิดอาการ Burnout ประเภทนี้ ย่อมชัดเจนว่าการประสานงาน หรือการพูดคุยภายในทีมอาจไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ควรมีการสนับสนุน รวมถึงการสร้างกำลังใจให้พนักงานมากขึ้น เพื่อส่งเสริมการทำงานเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

 

โดยเพื่อนร่วมงาน ฝ่าย HR ไปจนถึงผู้บริหาร สามารถเรียนรู้การสังเกตการ Burnout ของคนรอบข้างได้จากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

 

การสังเกตอาการ Burnout เบื้องต้น

 

1. ประสิทธิภาพการทำงานลดลง

 

การทำงานของพนักงานคนดังกล่าวมีประสิทธิภาพลดลง อาจเป็นการเสร็จไม่ทันเวลา ความผิดพลาดที่เยอะขึ้น หรือการสื่อสารที่น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น ปัจจัยนี้คือปัจจัยแรกที่สามารถสังเกตได้ชัดเจนว่าคน ๆ นั้นอาจมีอาการ Burnout อยู่

 

2. มีอารมณ์หรือการแสดงออกที่ผิดจากเดิม

 

จากความร่าเริงกลายเป็นความเศร้าหมอง จากคนตื่นเต้นกลายเป็นคนเศร้าซึม อารมณ์และการแสดงออกในการทำงานเป็นสิ่งที่บางครั้งฝ่าย HR และ เพื่อนร่วมงานสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า ไม่ว่าจะผ่านการสนทนาหรือการทำงานก็ตาม หากพนักงานใหม่ไฟแรงเริ่มเกิดอาการเฉื่อยชา หรือมีความหงุดหงิดออกมาในการทำงาน ก็มีโอกาสที่อาการหมดไฟเริ่มมาเยือนแล้วเช่นกัน

 

3. มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน

 

เนื่องจากอาการหมดไฟนั้นมักมีอารมณ์และความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนที่หมดไฟอาจก่อให้เกิดปัญหากับเพื่อนร่วมงานสูง ไม่ว่าจะจากการหุนหันพลันแล่น การทำงานไม่ตรงตามเป้าหมาย หรือแม้แต่การตอบคำถามที่ไม่เข้าหูกัน จนกลายเป็นความเกลียดชังและการกระทบกระทั่งในที่ทำงานที่ไม่ควรเป็น

 

 

4. ไม่สามารถบริหารจัดการเวลาได้เท่าเดิม

 

ขึ้นชื่อว่าอาการหมดไฟย่อมทำให้การทำงานไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ และก่อให้เกิดการบริหารจัดการเวลาได้ไม่ดีเพียงพอ ดังนั้นหากพนักงานที่มีความเคร่งครัด ส่งงานตรงเวลาเสมอเริ่มมีอาการส่งงานเลท ประชุมสาย หรือจัดการตัวเองไม่ได้ โดยไม่มีปัจจัยอื่น ๆ มาเกี่ยวข้อง อาจอนุมานเบื้องต้นได้ว่าเกี่ยวกับอาการ Burnout 

 

5. โทษคนอื่นเกี่ยวกับงานเสมอ ๆ

 

ปัจจัยหลายสิ่งหลายอย่างภายใต้อาการ Burnout นั้นส่งผลต่อสภาพจิตใจ อาจแปรเปลี่ยนพนักงานที่มีความซื่อตรง ขยัน ให้กลายเป็นคนโมโหร้าย หาเรื่องโทษคนอื่นโดยไม่สนใจสิ่งที่เกี่ยวกับตนเอง ทางฝั่ง HR อาจนำจุดนี้มาประกอบการพิจารณาว่าบุคคลดังกล่าวมีอาการ Burnout หรือไม่ หรือมีภาวะใดที่อาจส่งผลต่อทีมในอนาคต

 

5 ข้อดังกล่าวเป็นเพียงการสังเกตอาการ “เบื้องต้น” เท่านั้น เนื่องจากอาการ Burnout มีหลายประเภท มีความซับซ้อน รวมถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องก็มีมากมาย และอาจเป็นอาการที่เกิดจากหลาย ๆ สิ่งรวมกัน ดังนั้นผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องควรมีการสังเกต หรือทำการพูดคุยให้ชัดเจนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงแนวทางการแก้ไข เพื่อการจัดการปัญหาที่มีประสิทธิภาพที่สุด

 

องค์กรควรทำอย่างไรเมื่อพบว่าพนักงาน Burnout

 

วิธีการรับมือปัญหาเกี่ยวกับ Burnout นั้นมีหลากหลายรูปแบบ แม้ว่าการแก้ไขนั้นจะต้องใช้พนักงานที่ประสบปัญหาเป็นศูนย์กลาง แต่ตัวคนในบริษัท ฝ่ายบุคคล ไปจนถึงผู้บริหารก็สามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาระยะยาวได้

 

1. ช่วยบริหารจัดการปริมาณงานเบื้องต้น

 

เนื่องจากผู้ที่มีภาวะ Burnout อาจเกิดจากการบริหารจัดการเวลางานด้วยตนเองไม่ได้ดีพอ ดังนั้นจึงช่วยสร้างช่องว่างให้คน ๆ นั้นสามารถฟื้นฟูสุขภาพกายและใจของตนเองได้ รวมถึงสังเกตว่าหากปริมาณงานหนักเกินไปจริง ๆ จนเข้าสู่ Overload Burnout อาจใช้การรับพนักงานในตำแหน่งนั้น ๆ มาเพิ่มเติมเพื่อช่วยแบ่งเบาความหนักในงาน

 

2. ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับมุมมองการทำงาน

 

การทำความเข้าใจบทบาทและมุมมองในการทำงานของพนักงาน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้การทำงานต่าง ๆ เป็นไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น ฝ่ายบุคคลควรมีบทบาทในการให้คำปรึกษาเบื้องต้น เกี่ยวกับการทำงานในภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อการปรับทัศนคติให้เหมาะสมกับการทำงาน ไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไปที่อาจทำให้เกิดผลกระทบในระยะยาวได้

 

 

3.สนับสนุนการสื่อสารภายในทีมให้มากขึ้น

 

สิ่งที่ช่วยให้การทำงานของผู้ที่ Burnout นั้นกลับมามีประสิทธิภาพมากขึ้นย่อมมีการสื่อสารเป็นส่วนประกอบ การให้พนักงานผู้นั้นมีการพบปะผู้คนมากขึ้น พูดคุยสิ่งต่าง ๆ นอกจากงาน ไปจนถึงสร้างสายสัมพันธ์กับคนในองค์กร จะเป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้อาการหมดไฟนั้นค่อย ๆ เจือจางลง และการทำงานมีคุณภาพยิ่งขึ้น

 

4. เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน

 

ความกดดัน ภาระงานที่จำเจ ไปจนถึงงานที่ไม่ท้าทาย เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเป็นอาการ Burnout ตามที่ระบุไปข้างต้น ซึ่งปัญหาดังกล่าว สามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ด้วยการเปิดช่องว่างให้มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เปิดโอกาสให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้ สร้างโอกาสให้พนักงานสามารถทำสิ่งใหม่ ๆ นำเสนอแนวคิดของตัวเองเพื่อต่อยอดเป็นงานต่าง ๆ จะช่วยให้อาการ Burnout นั้นดีมากขึ้น

 

สรุป

 

สภาวะ Burnout นั้นเกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นงานที่หนักเกินไป ความไม่ท้าทายในงาน ไปจนถึงการสื่อสารที่อาจไม่เพียงพอภายในทีม ดังนั้นการดูแลสภาพกายและใจของพนักงานให้สมบูรณ์พร้อม จึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายบุคคลต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก 

 

ซึ่งการเก็บข้อมูลสุขภาพของพนักงานด้วยแอพพลิเคชั่นเอง ก็ถือว่าเป็นทางเลือกใหม่ในยุคปัจจุบัน โดย SAKID เป็นนวัตกรรมดูแลสุขภาพพนักงานแบบองค์รวมที่น่าสนใจที่จะนำไปใช้งานภายในองค์กร เพื่อช่วยดูแลพนักงานของพวกคุณให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในอีกระดับ โดยมีบริการแยกย่อยออกไป ที่สามารถสนับสนุนบุคลากรในองค์กรได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น บริการภารกิจสุขภาพรายบุคคล ที่คัดสรรภารกิจการบริหารร่างกายเพื่อสุขภาพของแต่ละคนโดยเฉพาะ บริการปฏิทินความสุข เครื่องมือสำหรับบันทึกความสุข และการบรรเทาความเครียดต่าง ๆ ของพนักงาน  

       

ทั้งยังมีบริการโค้ชสุขภาพพนักงานส่วนตัว  เพื่อให้พนักงานพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพกับโค้ชประจำตัว กับนักกำหนดอาหาร นักวิทยาศาสตร์การกีฬา และนักจิตวิทยา ที่ช่วยลดอาการ Burnout ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม และในท้ายที่สุดนี้คือ บริการเวิร์คช็อปออนไลน์ ซึ่งเป็นคลาสสำหรับดูแลสุขภาพกาย และใจของพนักงานในองค์กรด้วยระบบออนไลน์ ที่สามารถเข้ามาเรียนได้โดยง่าย 

 

โดยทีมงานของเราในการทำงานมีประสบการณ์การทำงานมามากกว่า 10 ปี และผ่านประสบการณ์การทำงานกับองค์กรมามากกว่า 200 องค์กร ด้วยศักยภาพที่จะช่วยดูแลร่างกายและจิตใจของพนักงานให้ดียิ่งขึ้น จึงมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพพนักงาน ทำให้สามารถเข้าถึงผู้รับบริการได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยคุณสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมต่าง ๆ ได้ที่บริการของ SAKID และติดต่อเข้ามาได้ผ่านทางเว็บไซต์ของเรา หากสนใจจะใช้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

กินอยู่อย่างไร ห่างไกล NCDs-SAKID

WORKSHOP กินอยู่อย่างไร ห่างไกล NCDs

กิจกรรม กินอยู่อย่างไร ห่างไกล NCDs

วันที่ 26 สิงหาคม  2567 SAKID  ได้จัดกิจกรรม กินอยู่อย่างไรห่างไกลโรคNCDs กับ SAKID ที่บริษัท ทาทาสตีล (การผลิต) จ.สระบุรี โดยจะมีกิจกรรมวัดองค์ประกอบร่างกาย และWorkshop เกี่ยวกับการเลือกอาหารในชีวิตประจำวันโดยจะเน้นไปที่การลดน้ำหนักและไขมันในเลือด ให้พนักงานได้นำไปใช้ได้จริง การอ่านฉลากแบบง่ายๆ การเลือกกินอาหารแบบ 2-1-1 เน้นโปรตีนและผัก การเลือกกินคาร์โบไฮเดรตในสัดส่วนที่ถูกต้อง เพื่อรักษาการกินที่สมดุลให้เหมาะกับสภาวะร่างกายของแต่คนให้ถูกต้อง

อ่านต่อ »
Cover -HIIT-sakid

WORKSHOP ONLINE HIIT ทำน้อยได้มาก

กิจกรรม  “HIIT ทำน้อยได้มาก” ฉบับคนไม่มีเวลา

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2566 SAKID  ได้จัดกิจกรรม Workshop “HIIT  ทำน้อยได้มาก”  ให้กับบริษัทเอสพี อินเตอร์แมค โดยผู้เข้าร่วม Workshop Online จะได้รู้เรื่องการใช้พลังงานของร่างกายส่วนต่างๆ และท่าออกกำลังกายที่ทำได้ โดยไม่ต้องใช้เวลาเยอะในการออกกำลังกาย

อ่านต่อ »
Sakid thumbnail-หมด Passion ในการทำงาน

เมื่อพนักงานสูญเสีย Passion ในงาน: วิธีจุดประกายแรงบันดาลใจในที่ทำงานอีกครั้ง

โดยทั่วไปหมายถึงแรงผลักดันอย่างแรงกล้าที่ทำให้เรามุ่งมั่นและเต็มใจอุทิศตนให้กับกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งอย่างต่อเนื่องและทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ (Vallerand, 2015) โดย  Passion ในการทำงาน (Work passion) คือ สภาวะทางจิตใจที่บุคคลรู้สึกกระตือรือร้น ยินดี และเต็มใจที่จะอุทิศเวลา พลังกาย พลังใจ ให้กับการทำงาน จนรู้สึกว่างานเป็นส่วนหนึ่งที่มีคุณค่าในชีวิต (Vallerand et al., 2003) และในทางจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การแบ่ง passion ออกเป็น 2 ประเภท คือ harmonious passion และ obsessive passion

อ่านต่อ »
managing-cover-SAKID

จัดการความเสี่ยง เริ่มต้นที่สุขภาพพนักงาน

 กิจวัตรประจำวันของพนักงานออฟฟิศนอกจากจะนั่งทำงานอย่างยาวนานแล้ว สิ่งหนึ่งที่พบเจอในองค์กรเมื่อตรวจสุขภาพประจำปี นั่นก็คือ ค่าไขมันสะสมสูงอาจจะเพราะว่าการเลือกกินอาหารที่มีไขมันสูง น้ำหวาน ซึ่งอาจจะเข้าใจได้ว่าเกิดจากวัฒนธรรมองค์กรที่ช่วงบ่ายๆ เหนื่อยๆ มีความเครียดในที่ทำงานจนต้องหาน้ำหวาน ขนม มากิน ผนวกกับการนั่งทำงานนานๆ ไม่ขยับตัวจนไม่เกิดการเผาผลาญของร่างกายและนี่คือพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคต่างๆ อย่างเช่น อ้วนลงพุง ไขมันในเลือดสูง ไขมันพอกตับ ไตรกลีเซอไรด์สูง เบาหวาน เป็นต้น

อ่านต่อ »
Cover-Sakid-บางบัวทอง

บูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิด ที่การไฟฟ้านครหลวง เขตบางบัวทอง

บูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิด ที่การไฟฟ้านครหลวง เขตบางบัวทอง

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566 Sakid ได้ออกบูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิดให้กับการไฟฟ้านครหลวง เขตบางบัวทอง ในกิจกรรม Fun for Fit เพื่อแนะนำการเข้าร่วมโครงการ  “MEA เบิร์นเกินร้อย” เปิดศึกการแข่งกันระหว่างทีมเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี ด้วยการส่งภารกิจสุขภาพผ่านแอพสะกิด และลุ้นรับของรางวัลในแต่ละเดือน

อ่านต่อ »
WFH-ในหน้าร้อนอย่างไร-สบายกายและกระเป๋า-Sakid

WFH ในหน้าร้อนอย่างไร สบายกายและกระเป๋า

สภาวะฝุ่นPM 2.5 ซึ่งเป็นสถานการณ์วิกฤติมลพิษทางอากาศที่หลายพื้นที่ในประเทศไทยกำลังเผชิญมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ที่วัดค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index : AQI) สูงถึง 372 ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2566 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับอันตรายมีผลกระทบต่อสุขภาพ จังหวัดเชียงใหม่จึงกลายเป็นเมืองที่มีอากาศแย่อันดับหนึ่งของโลก จนผู้ว่าฯต้องออกประกาศขอความร่วมมือทุกหน่วยงาน Work from Home

อ่านต่อ »
โรคที่เกิดจากการทำงาน
URL Copied!

10 โรคจากการทำงาน ที่ HR สามารถช่วยป้องกันได้

ในโลกการทำงานปัจจุบัน แม้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีเทคโนโลยีที่คอยสนับสนุนให้สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วขึ้น แต่เหรียญอีกด้านก็นำมาซึ่งความคาดหวังและความกดดันต่อปริมาณงานและประสิทธิภาพในการทำงาน จนหลายๆ คนเลือกโหมงานหนัก และเกิดความเครียดเพิ่มมากขึ้น 

 

โดยสิ่งที่เกิดขึ้นจากความกดดันและโหมทำงานหนักคืออิริยาบถและวิธีการทำงานที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นท่านั่งที่ผิดหลัก การนั่งทำงานนานเกินไป การจ้องจอคอมมากเกินไป การนั่งทำงานและทานอาหาร น้ำตาลเพื่อเพิ่มพลัง การอั้นปัสสาวะเพื่อทำงานต่อให้เสร็จ ความเครียดจากงานที่ต้องเจอซ้ำๆ การทานอาหารไม่ตรงเวลา นี่คือพฤติกรรมที่เหล่าพนักงานไม่ได้อยากให้เกิดขึ้น แต่เพราะต้องทำงานให้ตรงตามเป้าหมาย จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ข้อมูลจากระบบรายงาน HDC ในปี พ.ศ.2563 พบว่าประชากรวัยทำงานนั้นมีภาวะอ้วนสูงขึ้น และยังมีโอกาสเกิดโรคที่ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ เช่นเบาหวาน ภาวะความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคมะเร็ง รวมไปถึงมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางตา ภาวะไตวายเรื้อรัง โรคเครียดจากการทำงาน ซึ่งโรคดังกล่าวมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี

 

นอกจากนี้ จากสถิติอัตราค่ารักษาพยาบาลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)  และสถิติการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับพนักงานในหลายๆ องค์กร ยังสะท้อนว่าองค์กรต้องสูญเสียงบประมาณค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมากจากการเจ็บป่วยในกลุ่มโรคเบื้องต้น ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่มีแต่เสียไป และส่งผลกระทบทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของคนในองค์กร และประสิทธิภาพในการทำงานระยะยาว

 

หลายองค์จึงควรระวังกับการ “ทำงานให้สุด แล้วหยุดที่ ICU” เพราะการโหมหนักย่อมไม่เกิดผลดีกับใคร และองค์กรสามารถออกแบบนโยบายเพื่อป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้นจากการทำงานได้ โดยในบทความนี้จะชวนมาทำความเข้าใจและสิ่งที่องค์กรสามารถทำได้เพื่อป้องกัน10 โรคที่เกิดจากการทำงาน ซึ่งเป็นโรคยอดฮิตที่ไม่ควรมองข้าม

 

 

1. โรคออฟฟิศซินโดรม

 

โรคออฟฟิศซินโดรมคืออะไร

 

ปัจจุบันหลายคนน่าจะคุ้นหูกันดีกับออฟฟิศซินโดรมไม่น้อย ออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) เนื่องจากใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบ และปวดเมื่อยตามคอ หลัง บ่า ไหล่ แขน หรือข้อมือ ซึ่งหากทิ้งไว้นาน จะรักษาได้ยากขึ้นและกลายเป็นการปวดเรื้อรัง

 

 พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

เนื่องจากออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ พฤติกรรมที่ทำให้หลายคนเกิดโรคจึงเป็นการนั่งท่าเดิมนานๆ ไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกเดินไปไหนมาไหน ซึ่งส่งผลต่อความเกร็งและทำให้กล้ามเนื้ออักเสบในที่สุด

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– เกิดการปวดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน

 

– มีอาการปวดวิงเวียนศีรษะเรื้อรัง 

 

– ปวดหลัง 

 

– มีอาการปวดหรือเกิดเหน็บชาบริเวณขาลงมา 

 

– ตาล้าพร่ามัว

 

– มีอาการมือชา นิ้วล็อก และปวดข้อมือ

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ออกแบบสถานที่ทำงานให้เหมาะสม ด้วยการอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับโต๊ะหรือเก้าอี้ Ergonomics

 

– ให้บริการห้องออกกำลังกาย หรือจัดโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมให้แก่พนักงาน

 

– จัดมุมพักผ่อนให้พนักงานสามารถลุกและขยับร่างกายได้ อาจเสริมบริการนวดตัว หรือเก้าอี้นวด เพื่อทำให้กล้ามเนื้อไม่เกร็งจากการทำงาน 

 

2. โรคไมเกรน

 

โรคไมเกรนคืออะไร

 

ไมเกรน อีกหนึ่งโรคยอดฮิตที่เรามักได้ยินจากคนทำงาน โดยเป็นอาการปวดศีรษะเรื้อรังที่มักจะปวดศีรษะแบบตุบๆ ซึ่งอาจเป็นข้างเดียว หรือสองข้างก็ได้ ไมเกรนมักจะเกิดขึ้นในยามที่คนทำงานรู้สึกเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังใช้ร่างกายหนักเกินไป

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

วิถีชีวิตที่ส่งผลกับการเกิดโรคไมเกรนคือการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ กินอาหารไม่ตรงเวลา มีความเครียดสูงบ่อยครั้ง รวมไปถึงคนที่ชอบทานกาแฟหรือชาที่มีคาเฟอีนสูงมากเกินไป ก็ส่งผลให้เกิดไมเกรนได้ทั้งสิ้น

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– มักปวดหัวข้างเดียวเป็นประจำ โดยอาจเป็นข้างซ้ายหรือข้างขวาสลับกัน (แต่บางคนก็มักปวดทั้งสองข้าง)

 

– ลักษณะการปวดจะเป็นจังหวะเหมือนเส้นเลือดกำลังดัน หรือที่คุ้นชินกับคำว่าปวดหัวตุบๆ 

 

– อาการปวดหัวมักเกิดบริเวณบริเวณขมับ อาจปวดร้าวมาถึงกระบอกตาและท้ายทอย

 

– อาการปวดจะค่อนข้างเรื้อรัง เกิดขึ้นเป็นเวลานานหลายชั่วโมง หรือทั้งวัน

 

– ในกรณีที่เป็นไมเกรนเรื้อรังและรุนแรง จะกระทบไปถึงวิถีชีวิต ไม่สามารถนั่ง เดิน หรือขึ้น-ลงบันไดได้ แต่อาการจะดีขึ้นหากได้นอนนิ่งๆ ในห้องที่เงียบสงบ และเย็นสบาย ไม่มีแสงรบกวน

 

– บางคนอาจเจออาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ตาไม่สู้แสง ทนเสียงดังไม่ได้ เป็นต้น

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– จัดตารางเวลาทำงานให้เหมาะสม คอยเช็กความรู้สึกและสถานการณ์ที่จะช่วยให้พนักงานไม่กดดันและต้องทำงานหนักเกินไป

 

– มีการติดตามและวิเคราะห์สุขภาพพนักงานอยู่เสมอ โดยอาจใช้ผ่านแอปพลิเคชัน เช่น SAKID

 

– จัดสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้มีแสงสว่างที่พอดี มีบรรยากาศที่ไม่ตึงเครียดเกินไป

 

3. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

 

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คืออะไร

 

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ นอกจากนี้ยังเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมเช่น การกลั้นปัสสาวะ และการทำความสะอาดทวารหนักก่อนทำความสะอาดอวัยวะเพศ ซึ่งส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ง่ายขึ้น

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

สำหรับพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คือการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานติดต่อกัน รวมไปถึงการทำความสะอาดทวารหนักก่อนทำความสะอาดอวัยวะเพศ การใช้ยาปฏิชีวนะสวนล้างทำความสะอาดช่องคลอด รวมไปถึงการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– ปัสสาวะกะปริบกะปรอยบ่อยครั้ง

 

– ปัสสาวะแสบขัด  ปัสสาวะสีขุ่น หรืออาจมีเลือดปนมากับปัสสาวะ

 

– รู้สึกถ่ายปัสสาวะไม่สุด

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ออกแบบสถานที่ทำงานให้เข้าถึงห้องน้ำได้ง่าย และมีความสะอาด 

 

– ไม่กดดันพนักงานให้ต้องนั่งทำงานอยู่กับที่ แต่สร้างความสบายใจให้สามารถมีอิสระในการลุกไปเข้าห้องน้ำ

 

– จัดเตรียมน้ำสะอาดให้พนักงาน

 

– มอบสวัสดิการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้พนักงานสามารถตรวจเช็กโรคได้ทันเวลา

 

 

4. โรค CVS (Computer Vision Syndrome)

 

โรค CVS คืออะไร

 

โรค CVS (Computer Vision Syndrome) เป็นกลุ่มอาการทางตาที่เกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หากใช้อย่างต่อเนื่องจะยิ่งส่งผลกระทบร้ายแรง โดยผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ต่อเนื่องมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน จะมีอาการ CVS เกิดขึ้นได้เกือบ 90 %

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

สำหรับคนทำงานออฟฟิศที่ต้องจ้องจอคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงการอ่านเอกสารที่มีตัวอักษรเล็กๆ เป็นเวลานานเป็นพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดโรค CVS ได้ นอกจากนี้สภาพแวดล้อมยังส่งผลต่อการเกิดโรค ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ในสถานที่ที่แสงสว่างไม่เพียงพอ การจัดวางโต๊ะทำงานที่ทำให้มองจอในระยะที่ไม่เหมาะสม รวมไปถึงท่านั่งทำงานด้วยเช่นกัน

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– ปวดเมื่อยตา ปวดกระบอกตา

 

– ตาแห้ง แสบตา เคืองตา

 

– ตาพร่ามัว โฟกัสได้ช้าลง

 

– ตาสู้แสงไม่ได้ ไม่สามารถมองแสงจ้าได้

 

– มีอาการปวดศีรษะ บางครั้งอาจมีอาการปวดหลัง ไหล่ หรือต้นคอร่วมด้วย

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

–  ออกแบบการวางโต๊ะทำงานและเก้าอี้ ให้เหมาะสมกับการทำงาน

 

สร้างสภาพแวดล้อมที่มีแสงสว่างอย่างเพียงพอ มีต้นไม้ในออฟฟิศเพื่อให้พนักงานสามารถพักผ่อนสายตาได้

 

– มีการแจ้งเตือนหรือสะกิดให้พนักงานได้พักสายตาจากจอคอมหรืองานที่ทำ อาจเป็นการใช้แอปพลิเคชันในการอำนวยความสะดวก

 

5. โรคเครียด

 

โรคเครียดคืออะไร

 

โรคเครียด (Adjustment Disorder) หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ ภาวะการปรับตัวผิดปกติ เป็นโรคที่เกิดจากการพบเจอภาวะกดดันมากเกินไป จนไม่สามารถปรับตัวได้ ส่งผลให้เกิดความทุกข์ทรมานในการดำเนินชีวิต และการทำงาน โดยจะมีอาการนานไม่เกิน 6 เดือน และเป็นกลุ่มโรคทางจิตเวชที่สามารถรักษาให้หายได้

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

โรคเครียดเป็นโรคที่เกิดเผชิญจากปัจจัยทั้งภายใน เช่น โรคประจำตัว สารเคมีในสมองที่ไม่สมดุล พัฒนาการตามวัย และปัจจัยภายนอกเช่น การทะเลาะเบาะแว้ง ความกดดันจากที่ทำงาน การสูญเสีย สุขภาพที่เจ็บป่วยเป็นเวลานาน การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดโรคเครียดได้ หากพบเจอซ้ำๆ

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– เห็นภาพเหตุการณ์ร้ายแรงซ้ำๆ ฝันร้าย

 

– อารมณ์ขุ่นมัว ทุกข์ใจ ไม่ร่าเริงแจ่มใส

 

– เกิดความหลงลืมมึนงง รู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง

 

– หลีกเลี่ยงการเข้าสังคม

 

– นอนหลับยาก 

 

– ไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ออกแบบสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้มีความผ่อนคลาย มีสีสัน หรือเพิ่มต้นไม้และของตกแต่งเพื่อให้มีพื้นที่พักผ่อนใจ

 

– ติดตามและถามไถ่สภาพจิตใจของพนักงาน โดยอาจทำงานผ่าน HR หรือใช้แอปพลิเคชันช่วยบันทึกกิจกรรมประจำวันบนปฏิทินความสุข ที่จะทำให้ได้เห็นความรู้สึกของพนักงาน

 

– ออกแบบสวัสดิการที่เหมาะสม เพื่อให้พนักงานไม่ต้องกังวลถึงคุณภาพชีวิตที่ดี

 

– ให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการออกแบบวิถีการทำงานที่เหมาะสมกับแต่ละคน

 

6. โรคหัวใจ

 

โรคหัวใจคืออะไร

 

โรคหัวใจ (Heart Disease) คือโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับการทำงานของหัวใจ โดยความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างกันไป เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ  โรคลิ้นหัวใจ และอื่นๆ

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

โรคหัวใจเกิดได้จากหลากหลายพฤติกรรม ทั้งพันธุกรรม หรือวิถีชีวิตเช่น การกินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง การไม่ได้ออกกำลังกาย การอยู่กับจอคอมตลอดเวลาจนไม่ค่อยได้ขยับตัว รวมไปถึงความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจเช่นกัน นอกจากนี้ยังเกิดจากการสูบบุหรี่หนัก หรือดื่มแอลกอฮอล์มากจนเกินไป

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง

 

– หายใจเข้าลำบาก 

 

– เจ็บหน้าอกหรือแน่นบริเวณกลางอก

 

– หายใจหอบ บางครั้งอาจเกิดขึ้นยามที่นอนหลับแล้ว

 

– เป็นลมหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ

 

– ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ 

 

– ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีสีเขียวคล้ำ

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ให้บริการห้องออกกำลังกาย หรือจัดโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมให้แก่พนักงาน

 

– มอบสวัสดิการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้พนักงานสามารถตรวจเช็กโรคได้ทันเวลา

 

– มอบสวัสดิการโรงอาหารที่คำนวณโภชนาการให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

 

7. โรคอ้วน

 

โรคอ้วนคืออะไร

 

โรคอ้วน คือโรคที่เกิดจากการมีปริมาณไขมันในร่างกายที่มากเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิต 

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

สำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด หรือทานอาหารที่มีความหวานมากเกินไป เช่น ชานมต่างๆ อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้มาก และหากรับประทานโดยไม่ได้ออกกำลังกาย ยิ่งทำให้ร่างกายสะสมไขมันไว้ และก่อให้เกิดโรคอ้วนที่เป็นต้นเหตุของโรคอื่นๆ ที่ตามมา

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– ดัชนีมวลกายหรือ BMI สูงถึง 30

 

– มีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต

 

– มีอาการปวดหลัง ข้อเข่าเสื่อม

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ให้บริการห้องออกกำลังกาย หรือจัดโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมให้แก่พนักงาน

 

– มอบสวัสดิการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้พนักงานสามารถตรวจเช็กโรคได้ทันเวลา

 

– มอบสวัสดิการโรงอาหารที่คำนวณโภชนาการให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

– มีการติดตามพฤติกรรมสุขภาพพนักงานผ่านแบบสอบถาม หรือแอปพลิเคชัน เช่น SAKID ที่ช่วยเป็นโค้ชในการดูแลสุขภาพได้

 

8. โรคกรดไหลย้อน

 

โรคกรดไหลย้อนคืออะไร

 

โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease : GERD ) คือโรคที่เกิดจากภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอก รวมไปถึงอาการขย้อน หรือคลื่นไส้ที่อาจส่งผลต่อวิถีชีวิต

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

พฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดโรคกรดไหลย้อน ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น การกินอาหารไม่ตรงเวลา การกินอาหารแล้วเอนตัวนอนทันที รวมไปถึงการทานอาหารมากเกินไปติดต่อกันหลายครั้ง นอกจากนี้คนที่สูบบุหรี่ ดื่มน้ำอัดลมหรือแอลกอฮอล์ ก็มีโอกาสเป็นโรคกรดไหลย้อนได้ รวมไปถึงคนที่มีความเครียดสูงก็ส่งผลต่อการเป็นโรคกรดไหลย้อนเช่นกัน

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– มีอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอก หลังรับประทานอาหารมื้อใหญ่ 

 

– มีน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก

 

– ท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียนหลังรับประทานอาหาร

 

– เจ็บหน้าอก รู้สึกจุกคล้ายมีอะไรติดหรือขวางอยู่บริเวณคอ

 

– หืดหอบ ไอแห้ง เสียงแหบ เจ็บคอ

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ให้บริการห้องออกกำลังกาย หรือจัดโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมให้แก่พนักงาน

 

– มอบสวัสดิการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้พนักงานสามารถตรวจเช็กโรคได้ทันเวลา

 

– มอบสวัสดิการโรงอาหารที่คำนวณโภชนาการให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

– ออกแบบสภาพแวดล้อมให้ได้มีพื้นที่เดินย่อยอาหารก่อนกลับไปนั่งทำงาน หลังทานอาหารกลางวันเสร็จ

 

9. โรคเบาหวาน

 

โรคเบาหวานคืออะไร

 

โรคเบาหวาน (Diabetes) คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนที่ชื่อว่า อินซูลิน (Insulin) ซึ่งร่างกายของเราจำเป็นต้องพึ่งพาอินซูลินในการนำน้ำตาลในกระแสเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย แต่เมื่อเกิดความผิดปกติกับฮอร์โมนชนิดนี้ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ทำให้มีปริมาณน้ำตาลค้างในเลือดมากกว่าปกติ

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

ส่วนใหญ่แล้วโรคเบาหวานเกิดจากพฤติกรรมที่มักละเลยการออกกำลังกาย การทานอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ ทานหวานเกินไป รวมไปถึงความเครียดก็ส่งผลต่อการเป็นโรคเบาหวานเช่นกัน นอกจากนี้เบาหวานยังเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ส่งต่อกับในครอบครัวได้

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– ปัสสาวะบ่อย ตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืน

 

– หิวน้ำบ่อย

 

– หิวบ่อย รับประทานจุ แต่น้ำหนักลด

 

– ผิวแห้ง

 

– เป็นแผลแล้วหายยาก

 

– ตาพร่ามัว

 

– ชาบริเวณปลายมือปลายเท้า

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ให้บริการห้องออกกำลังกาย หรือจัดโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมให้แก่พนักงาน

 

– มอบสวัสดิการด้านสุขภาพ เช่น ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้พนักงานสามารถตรวจเช็กโรคได้ทันเวลา

 

– มอบสวัสดิการโรงอาหารที่คำนวณโภชนาการให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

– อำนวยความสะดวกในการช่วยวิเคราะห์สุขภาพ การกินอาหาร การออกกำลังกายและความสุขส่วนบุคคล ผ่านแอปพลิเคชัน SAKID

 

10. ต้อหิน ตาพร่ามัว

 

โรคต้อหิน ตาพร่ามัวคืออะไร

 

โรคต้อหิน คือ โรคที่เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างการใช้สายตา และปริมาณเม็ดเลือดแดงที่เข้ามาเลี้ยงเซลล์ประสาทภายในลูกตาทำให้เซลล์ประสาทตาได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ จนส่งผลให้เซลล์ค่อยๆ ตายลง และการมองเห็นค่อยๆ ย่ำแย่ลงจนอาจตาบอดได้ในที่สุด

 

พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค

 

สำหรับคนทำงานที่ทักจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อหิน ตาพร่ามัวได้มากกว่าคนอื่น นอกจากนี้ในบุคคลที่ต้องทำงานกับที่ที่มีแสงสว่างจ้าเกินไปตลอดเวลาก็มีความเสี่ยงเช่นกัน รวมไปถึงพฤติกรรมเช่น ทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ จนทำให้ร่างกายขาดวิตามินบำรุงสายตา 

 

ข้อสังเกตอาการ

 

– ตาพร่า ตามัว เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เห็นภาพเบลอซ้อน หรือตามืดบอดชั่วขณะหนึ่ง

 

– เห็นจุดแสง ดำ-ขาว เต็มไปหมด เมื่อมองไปกลางแดด ตาสู้แสงไม่ได้

 

– ปวดในเบ้าตาลึกๆ และปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน

 

– ตรวจพบว่าสายตาสั้นขึ้นมาทันที และค่าสายตาขึ้นๆ ลงๆ

 

– สังเกตพื้นที่ต่างระดับ เวลาก้าวเดิน หรือเวลาขึ้นลงบันไดได้ยากลำบากขึ้น

 

– เห็นสีจืดจางลง เห็นตัวหนังสือเลือนรางขึ้น

 

– มองในที่มืดแย่ลง

 

องค์กรช่วยออกแบบวิธีป้องกันได้อย่างไร

 

– ออกแบบสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้มีแสงสว่างที่ดีพอดีและเพียงพอต่อการทำงาน

 

– จัดสรรเวลาทำงานให้พนักงานได้มีเวลาพักและละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์

 

– มอบสวัสดิการตรวจสุขภาพประจำปีที่ครอบคลุมกับการตรวจสุขภาพสายตา

 

– มอบสวัสดิการโรงอาหารที่คำนวณโภชนาการให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

สรุป

 

เพราะ ‘คนทำงาน’ นับเป็นทรัพยาการและสินทรัพย์ที่มีคุณค่าแก่องค์กรอย่างสูงสุด การดูแลให้พนักงานได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพแข็งแรง และห่างไกลโรค นอกจากจะเป็นการช่วยดูแลกันและกัน ยังเป็นการรักษาประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กรด้วยเช่นกัน 

 

10 โรคที่เกิดจากการทำงานเหล่านี้ จึงเป็นภัยเงียบที่องค์กรต้องช่วยกันดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น โดยอาจเลือกผู้ช่วยในการวิเคราะห์และเป็นโค้ชในการดูแลสุขภาพ เช่นแอปพลิเคชัน SAKID ที่มีทั้งโปรแกรมดูแลสุขภาพพนักงาน รายงานวิเคราะห์และติดตามผล รวมไปถึงการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจ ที่จะเป็นการดูแลพนักงานได้อย่างรอบด้านและครอบคลุมในแอปฯ เดียว

บทความที่น่าสนใจ

Burnout

“Burnout” องค์กรควรทำอย่างไรเมื่อพนักงานหมดไฟ

Burnout สำคัญแค่ไหน รู้หรือไม่ว่านี่คือปัญหาที่บริษัททั่วโลกกำลังพบเจอมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน เราควรรับมือมันอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ

อ่านต่อ »

การเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ดีขึ้น ด้วยแนวคิดแบบสตาร์ทอัพ

วัฒนธรรมองค์กรแบบสตาร์ทอัพ ถือเป็นวัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จึงไม่แปลกที่ใคร ๆ จะรู้สึกสนใจในสิ่งนี้

อ่านต่อ »
Cover-Sakid-Ws อาหารและหลักโภชนาการ

WORKSHOP อาหารและหลักโภชนาการในการดูแลตัวเอง

กิจกรรม  Workshop “อาหารและหลักโภชนาการในการดูแลตัวเอง”

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม  2566 SAKID  ได้จัดกิจกรรม Workshop “อาหารและหลักโภชนาการในการดูแลตัวเอง” โดยนักกำหนดอาหารที่ให้ความรู้และความเข้าใจเรื่องการดูแลด้านอาหารการปรับใช้กับตัวเอง การอ่านผลเลือดเข้าใจแบบง่ายว่าเราต้องปรับพฤติกรรมด้านไหน รวมทริคสุขภาพดีด้วยการปรับมื้อนี้ให้สุขภาพมากขึ้น การตั้งเป้าหมาย Smart Goal ทำให้ได้จริง

อ่านต่อ »
วิเคราะห์ผลสุขภาพพนักงานได้ทันทีผ่าน-SAKID-Dashboard-01

วิเคราะห์ผลสุขภาพพนักงานได้ทันทีผ่าน SAKID Dashboard

ที่ไหนมีคนอยู่ร่วมกัน  ปัญหาความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นที่นั่น และยิ่งคนเยอะเท่าไหร่  ความขัดแย้งยิ่งมีความซับซ้อนหลายระดับ ทั้งแบบเก็บงำเป็นความไม่ชอบส่วนตัว  จนถึงการแสดงความก้าวร้าวทางวาจา  หรือรังแกอีกฝ่ายในแบบต่างๆ  บางครั้งความขัดแย้งระหว่างบุคคลอาจขยายตัวมากขึ้นทำให้คนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมจนเป็นเหตุให้คนในองค์กรต้องแบ่งพรรคแบ่งพวก  สร้างบรรยากาศที่ไม่ไว้วางใจกัน  และไม่เคารพซึ่งกันและกันในองค์กร  เหตุการณ์ต่างๆ ยิ่งเลวร้ายลงเพราะหัวหน้างานอาจยังไม่ทราบเรื่อง

อ่านต่อ »
_เก็บออม-หรือเพิ่มรายได้-จุดไหนเราควรจะโฟกัส-SAKID

เก็บออมหรือเพิ่มรายได้ จุดไหนเราควรจะโฟกัส

 ในสถานการณ์ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์เมื่อปี 2565 ที่มีจำนวนผู้สูงอายุราวร้อยละ 20-30 และไทยจะกลายเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอดเช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปร้อยละ 28 ในปี 2574 จึงเป็นส่วนหนึ่งให้คนวัยทำงานเริ่มวางแผนทางการเงิน เพื่อให้พร้อมรับกับวัยเกษียณที่จะมาถึง ซึ่งมีทั้งเก็บออมเงินจากการทำงานในปัจจุบัน หรือเลือกที่จะหาช่องทางเพิ่มรายได้ แล้วแบบไหนที่ควรจะเลือกดี

อ่านต่อ »
จัด-Workshop-อย่างไรให้โดนใจ-Cover-Sakid

จัด Workshop อย่างไร ให้โดนใจ

การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยจุดเริ่มต้นที่สามารถทำได้คือการจัดอบรมเกี่ยวกับสุขภาพในด้านต่างๆการจัดอบรมจะช่วยปูพื้นความรู้การดูแลสุขภาพทั้งด้านกายและจิตให้กับพนักงาน ให้สามารถนำไปใช้ดูแลสุขภาพของตัวเองได้ โดยทีมผู้จัด สามารถเริ่มต้นทำได้

อ่านต่อ »
ergonomics คือ
URL Copied!

Ergonomics คืออะไร รู้จักกับการยศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีในการทำงาน

 

ช่วงเวลาที่ผ่านมา หันไปทางไหน เราก็อาจได้ยินว่าเพื่อน ๆ ในที่ทำงาน หรือคนในองค์กรต่างประสบปัญหาออฟฟิศซินโดรมกันไม่มากก็น้อย ยิ่งช่วงที่หลายคน Work From Home ซึ่งบ้านอาจไม่ได้มีอุปกรณ์ที่เหมาะกับการทำงานมากนัก ยิ่งทำให้ปัญหาเหล่านี้ขยายวงกว้างมากขึ้น

 

นั่นทำให้คำว่า Ergonomics หรือ การยศาสตร์ กลายเป็นสิ่งที่คนพูดถึงมากขึ้น เพราะนี่คือศาสตร์แห่งการทำงานที่ต้องการให้คนทำงานได้มีสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการทำงาน ลดปัญหาทางสุขภาพและอันตรายจากการทำงาน รวมไปถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างสูงสุด 

 

ชวนมาทำความรู้จักกับ Ergonomics และความสำคัญของการออกแบบสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้เป็นไปตามหลัก Ergonomics เพื่อให้คนในองค์กรได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุขไปด้วยกัน

 

Ergonomics คืออะไร?

 

การยศาสตร์ หรือ Ergonomics กลายเป็นคำคุ้นหูของคนทั่วโลก หลังจากเกิดโรคระบาด COVID-19 ที่คนต้องอยู่บ้าน ทำงานแบบปวดหลัง ซึ่งทำให้คนเริ่มมองเห็นความสำคัญของการรักษาสุขภาพร่างกายในการทำงาน และมองตัวช่วย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเหล่าอุปกรณ์  Ergonomics นั่นเอง

 

การยศาสตร์ หรือ Ergonomics มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก โดย Ergon หมายถึง งาน และ Nomos หมายถึง กฎตามธรรมชาติ (Natural Laws) เมื่อนำมารวมกันจึงกลายเป็น ‘ศาสตร์แห่งการทำงาน’ โดยเป็นศาสตร์ที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างงาน คนทำงาน และสภาพแวดล้อม จนกลายเป็นการออกแบบวิธีการทำงานที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพน้อยที่สุด

 

การศึกษาเกี่ยวกับ Ergonomics มีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ แต่เริ่มมีการบัญญัติคำว่า ‘Ergonomics’และความเข้าใจมากขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2342 – 2425 โดย Wojeiech Jastrzbowski ที่เริ่มศึกษาสภาพการทำงานของพนักงาน ต่อมา F.W. Taylor ได้พยายามใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายหลักการทำงานที่เหมาะสมกับคนทำงาน ในปี พ.ศ. 2454 เขาได้เห็นความสัมพันธ์ของคนทำงานกับสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน และพบขีดจำกัดของคนที่เกิดจากอุปกรณ์ สภาพแวดล้อม จึงเริ่มมีการพัฒนาเครื่องมือที่เหมาะสมกับการทำงานมากขึ้นตามลำดับ

 

และกลายเป็นเก้าอี้ โต๊ะ และอุปกรณ์อีกมากมายที่เราได้นำมาใช้จริงกันในยุคสมัยนี้

 

Ergonomics เกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างไร?

 

จากการศึกษาค้นคว้าและค้นพบว่าสภาพแวดล้อมส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของเหล่ามนุษย์ออฟฟิศทุกคน หากลองสังเกตท่านั่งเวลาทำงาน การขยับตัว การลุกหยิบจับสิ่งของ หรือนั่งประชุมกัน เราจะค้นพบว่าคนทำงานมักมีท่วงท่าที่ทำซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นพฤติกรรมที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น นั่งหลังค่อม ไหล่ห่อ คอยื่น หรือการนั่งจอคอมนาน ๆ สิ่งเหล่านี้เมื่อทำติดต่อกันเป็นเวลา ย่อมส่งผลต่อการเกิดโรคออฟฟิศซินโดรมที่แสนทรมานได้ทันที 

 

เมื่ออาการปวดเมื่อยถามหา ย่อมตามมาด้วยประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลง ปวดร่างกายแล้ว ยังชวนหงุดหงิดข้างในใจอีกต่างหาก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ Ergonomics จะเข้ามาช่วยให้การทำงานของคนในองค์กรมีความราบรื่นมากยิ่งขึ้นได้ และอำนวยความสะดวกให้พนักงานได้รับประสบการณ์และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพวกเขา

 

 

Ergonomics ประกอบด้วยอะไรบ้าง?

 

1. กลุ่มกายวิภาคศาสตร์ : กลุ่มนี้จะเน้นศึกษาขนาดของมนุษย์ โดยสำรวจปัญหาที่อาจเกิดจากรูปร่าง ขนาด หรือท่าทางการทำงานของคน นอกจากนี้ยังสำรวจ ชีวกลศาสตร์ ที่ศึกษาปัญหาจากการใช้แรงระหว่างทำงานด้วย

 

2. กลุ่มสรีรวิทยา : กลุ่มนี้จะเน้นศึกษาการใช้พลังงานในการทำงาน ซึ่งอาจส่งผลต่อปัญหาสุขภาพ รวมไปถึงการศึกษาสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อคนทำงาน เช่น ความร้อน แสง เสียง การสั่นสะเทือน

 

3. กลุ่มจิตวิทยา : กลุ่มนี้จะเป็นการทำความเข้าใจวิธีการทำงานของคน และมองหาความเหมาะสมต่อการทำงาน รวมไปถึงการตัดสินใจในการทำงานที่จะลดความผิดพลาดและก่อให้เกิดอุบัติเหตุ

 

สำรวจสิ่งที่ผิดหลัก Ergonomics 

 

– ตำแหน่งของร่างกายไม่เป็นธรรมชาติ

 

จากผลการศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่ามนุษย์จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อร่างกายอยู่ในจุดศูนย์กลาง ซึ่งช่วยให้รู้สึกสบายต่อร่างกายในส่วนต่าง ๆ ลดความตึงและอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูก ตำแหน่งของร่างกายไม่เป็นธรรมชาติ เช่น การโน้มตัวไปข้างหน้า แขนที่ยกสูงเกินไป การนั่งหลังค่อม

 

– การเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ

 

ในสายงานบ้างตำแหน่ง มักต้องทำงานในท่วงท่าเดิมซ้ำ ๆ ซึ่งอันตรายต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นท่านั่งพิมพ์คอม หรือคนทำงานไลน์การผลิต สิ่งเหล่านี้ส่งผลไปสู่ออฟฟิศซินโดรม และอาจเกิดปัญหาปวดเมื่อยเรื้อรัง เพราะกล้ามเนื้อยึด 

 

– การวางตำแหน่งของงานที่ไม่เหมาะสม

 

อย่างที่กล่าวไปว่าสภาพแวดล้อมส่งผลต่อการทำงานเป็นอย่างมาก การจัดโต๊ะหรือสภาพแวดล้อมรอบที่นั่งทำงานจึงมีความสำคัญ หากต้องเอื้อมหยิบจับ การงอ การยก และการบิดตัว ของบ่อยครั้ง ก็จะทำให้เราต้องอาศัยกล้ามเนื้อมากเกินไป และหากเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ก็จะทำให้เกิดการอักเสบได้

 

– เคลื่อนไหวน้อยเกินไป

 

มีงานวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นที่ผลเสียต่อการขยับร่างกายน้อยเกินไประหว่างทำงาน ซึ่งก่อให้เกิดอาการเมื่อยล้า และอาจเป็นโรคเรื้อรังเช่นโรคอ้วน หรือโรคเบาหวานได้ ดังนั้นจังมีคำแนะนำมากมายให้เราลุกจากโต๊ะระหว่างทำงานทุก ๆ 30 นาที ซึ่งปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่ช่วยเตือนเราได้ด้วย เช่น แอปพลิเคชันของ SAKID 

 

 

ประโยชน์ของ Ergonomics คืออะไร?

 

– ป้องกันอาการบาดเจ็บจากการทำงาน เช่น ออฟฟิศซินโดรม หรืออาการปวดคอ บ่า ไหล่ และหลัง 

 

– รู้สึกสบายเนื้อสบายตัว จนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

 

– ทำงานอย่างมีความสุขและพึงพอใจในงานที่ทำ ลดอาการตึงเครียดจากการทำงาน

 

– เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ค่ารักษาอาการบาดเจ็บจากการนั่งทำงาน

 

จัดสภาพแวดล้อมในออฟฟิศโดยใช้หลัก Ergonomics

 

ในทางหนึ่งการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการทำงานก็เป็นสวัสดิการที่องค์กรสามารถมอบให้กับพนักงานได้ โดย HR สามารถออกแบบ จัดซื้อโต๊ะ เก้าอี้ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมให้กับพนักงาน เพื่อแสดงความใส่ใจและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานไปพร้อมกัน

 

โดยสิ่งที่สามารถทำได้คือ

 

1. จัดหาโต๊ะปรับระดับไฟฟ้า หรือโต๊ะแบบยืนไว้ในออฟฟิศ เพื่อให้พนักงานได้มีตัวเลือกในการขยับร่างกายบ่อยครั้งขึ้น

 

2. เลือกเก้าอี้แบบ Ergonomics ให้พนักงานได้ใช้งาน เพื่อทำให้พวกเขาได้รับความสะดวกสบายและลดอาการเจ็บป่วย

 

3. วางผังพื้นที่ที่เหมาะสมกับการทำงาน เช่นชั้นวางของที่ไม่ต้องเอื้อมมากเกินไป หรือก้มมากเกินไป

 

4. มีระบบแจ้งเตือนที่ให้พนักงานได้ขยับเขยื้อนร่างกาย เพื่อลดการนั่งนาน ๆ จนกล้ามเนื้อตึงเครียด

 

5. มีพื้นที่ห้องออกกำลังกาย หรือพื้นที่โล่งให้พนักงานสามารถไปยืดเหยียดร่างกาย เพื่อลดอาการปวดเมื่อย

 

6. จัดหาคลาสสอนโยคะ หรือคลาสออกกำลังกายตามหลัก Ergonomics เช่น คอร์สจาก การยศาสตร์ ปรับท่าแก้โรค โดยอาจเป็นการเรียนรู้ออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันช่วยดูแลสุขภาพพนักงาน เช่น SAKID 

 

อุปกรณ์ออฟฟิศแบบ Ergonomics ที่อยากแนะนำ

 

Ergonomics นั้นเป็นทั้งการปรับพฤติกรรมบางส่วนที่เราคุ้นชิน เช่นท่านั่ง การหยิบจับของ และยังรวมไปถึงการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ออกแบบโดยใช้หลัก Ergonomics ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นสวัสดิการในออฟฟิศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้

 

เก้าอี้ Ergonomics chair

 

1. EMBRACE By Bewell ราคา 19,900

 

ขอบคุณภาพจาก sbdesignsquare.com

 

– สามารถปรับโหมดหลังตรง 90 องศาได้สำหรับทำงาน และโหมดเอนหลัง 45 องศา สำหรับการพักผ่อนได้

 

– พนักพิงระบายอากาศและความร้อน

 

– ที่วางแขนปรับระดับได้หลากหลาย ตั้งแต่ระดับ สูง-ต่ำ ขยับให้กว้าง-แคบ เลื่อนหน้า-หลัง ให้เหมาะสมกับตำแหน่งแต่ละบุคคล

 

– เบาะรองนั่งทำจากเมโมรี่โฟม ที่โอบรับการนั่ง พร้อมความรู้สึกนุ่มสบายในะระดับพอดี

 

2. Ergotrend Dual-X1 ราคา 6,900 บาท

 

ขอบคุณภาพจาก sbdesignsquare.com

 

– พนักพิงทำจากตาข่ายที่ผลิตจากผ้าตาข่าย Matrex ผ่านมาตรฐาน BIFMAช่วยระบายความร้อนได้ดี

 

– เบาะรองนั่งทำหุ้มด้วยผ้า ให้ความรู้สึกนุ่ม นั่งสบาย

 

– มีโช๊คปรับระดับเก้าอี้ให้เหมาะกับตำแหน่งการนั่งของแต่ละบุคคล

 

– ขาเก้าอี้ผลิตจากอลูมิเนียม มีความแข็งแรง ทนทาน

 

โต๊ะ Ergonomics

 

3. โต๊ะปรับระดับไฟฟ้า Bewell Ergonomic 60×120 Adjustable Desk ราคา 11,900 บาท

 

ขอบคุณภาพจาก mercular.com

 

– ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า

 

– ระบบจดจำการตั้งค่าความสูงได้ถึง 4 ค่า

 

– ท็อปโต๊ะผลิตจาก MFC ทนทานและแข็งแรง

 

– ปรับระดับความสูงได้ตั้งแต่ 60 – 125 ซม.

 

– หน้าจอแสดงความสูงง่ายต่อการใช้งาน

 

– รองรับน้ำหนักได้ถึง 160 กก.

 

4. โต๊ะปรับระดับ Furradec ET119 60×120 Adjustable Desk ราคา 9,900 บาท

 

ขอบคุณภาพจาก mercular.com

 

– ท๊อปโต๊ะไม้ปาร์ติเกิ้ลลายไม้ไวท์โอ๊ค เคลือบผิวเมลามีน

 

– ปรับระดับความสูงโต๊ะได้ที่ 73 – 123 ซม.

 

– แผงควบคุมจดจำค่าความสูงที่ต้องการได้ 4 ระดับ

 

– รับน้ำหนักได้สูงสุดที่ 50 กก.

 

– ขาเหล็ก 2 ชั้น สีขาว Powder Coated

 

คีย์บอร์ด Ergonomics

 

5. คีย์บอร์ด Perixx รุ่น PERIBOARD 512

 

ขอบคุณภาพจาก perixx.co.uk

 

– 7 Multi-Media Keys หรือ ปุ่มลัด 7 ปุ่มที่ทำให้การทำงานสะดวกยิ่งขึ้น

 

– ดีไซน์แบบ ‘3D Curve’ ซึ่งจะช่วยให้จัดวางมือได้ถูกต้องตามสรีรศาสตร์

 

– เชื่อมต่อด้วยระบบUSB

 

– ใช้ได้กับ Windows 7, 8 และ 10

 

6. คีย์บอร์ด Microsoft Sculpt Ergonomic Desktop Mouse & Keyboard set ราคา 3,799 บาท

 

ขอบคุณภาพจาก microsoft.com

 

– มีเมาส์ Ergonomic ความไว 100dpi แถมมาให้ในเซต

 

– แป้นพิมพ์อักษรและแป้นพิมพ์ตัวเลขแยกออกจากกัน ทำให้พิมพ์ได้ง่ายกว่าเดิม

 

– คีย์บอร์ดเป็นระบบไร้สาย เชื่อมต่อได้ไกลกว่า 10 เมตร

 

– สามารถเชื่อมคีย์บอร์ดกับเมาส์พร้อมกันได้ด้วยระบบ Nano Transceiver

 

– ใช้ได้กับทั้ง Windows และ IOS

 

สรุป

 

เชื่อว่าใคร ๆ ก็ไม่อยากเจ็บไข้ได้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโรคออฟฟิศซินโดรม ที่ส่งผลกระทบทั้งร่างกาย และยังน่าหงุดหงิดใจไม่น้อยที่ความเจ็บปวดนั้นมารบกวนการทำงานของเรา จนอาจเสียเวลาในการทำงาน และเสียเงินในการรักษา

 

หลังจากได้ทำความรู้จักกับ การยศาสตร์ หรือ Ergonomics แล้ว อาจทำให้องค์กรได้เห็นความสำคัญของสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการทำงาน พร้อมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับคนในองค์กรได้ ดังนั้นการมอบสวัสดิการ และการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เป็นนโยบายสำคัญที่หลายองค์กรอาจลองตระหนักกันมากขึ้น

 

โดยอาจเริ่มต้นจากการใช้ผู้ช่วยเป็นแอปพลิเคชัน SAKID ที่คอยดูแลและวิเคราะห์สุขภาพพนักงาน เพื่อช่วยสะกิดเตือนให้พนักงานได้ออกมาลุกยืดเส้นยืดสาย รวมไปถึงมีโค้ชและคลาสเรียนออนไลน์ที่สร้างความรู้ความเจ้าใจในการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากสุขภาพกายแล้ว ยังช่วยบันทึกความรู้สึกไปพร้อม ๆ กันได้ด้วย

 

เพราะงานที่ดี เริ่มต้นจากสุขภาพที่ดี

บทความที่น่าสนใจ

Cover-Sakid-บางบัวทอง

บูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิด ที่การไฟฟ้านครหลวง เขตบางบัวทอง

บูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิด ที่การไฟฟ้านครหลวง เขตบางบัวทอง

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566 Sakid ได้ออกบูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิดให้กับการไฟฟ้านครหลวง เขตบางบัวทอง ในกิจกรรม Fun for Fit เพื่อแนะนำการเข้าร่วมโครงการ  “MEA เบิร์นเกินร้อย” เปิดศึกการแข่งกันระหว่างทีมเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี ด้วยการส่งภารกิจสุขภาพผ่านแอพสะกิด และลุ้นรับของรางวัลในแต่ละเดือน

อ่านต่อ »

“ดูแลสุขภาพพนักงาน” การสร้างสุขเบื้องต้นที่คุณไม่ควรมองข้าม

สุขภาพของพนักงานสำคัญกว่าที่คิด! บริษัทจะดูแลสุขภาพพนักงานได้อย่าไรบ้าง? แชร์ 5 เรื่องที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ในองค์กร เพิ่มความสุข ส่งเสริมสุขภาพให้พนักงาน

อ่านต่อ »

Workshop ดูแลสุขภาพใจ #workshop3อ #อารมณ์

ดูแลสุขภาพใจพนักงาน ด้วยการให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง การสำรวจตรวจเอง เรื่องจิตวิทยาและอารมณ์ , Workshop การจัดการความเครียด , Health talk Work life balance หรือ Burn out โดยนักจิตวิทยาที่มีประสบการณ์

อ่านต่อ »

Well being the future hr trends

การให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีในที่ทำงานไม่ใช่แค่เทรนด์ที่ผ่านไปเท่านั้น แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างมากขึ้นในมุมมองของธุรกิจและสังคมต่อบทบาทของการทำงานและความสำคัญของสวัสดิการของพนักงาน ปัจจัยหลายอย่างมีส่วนทำให้การเน้นเรื่องสุขภาพและสภาพสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ดีเพิ่มมากขึ้น

อ่านต่อ »

Workshop ยืด เหยียด ขยับ มาออกกำลังกายกัน #workshop3อ #ออกกำลังกาย

เริ่มต้นดูแลสุขภาพพนักงาน ด้วยการให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ในเรื่องการออกกำลังกายอย่างไร ให้เกิดการเผาผลาญ , คลาสออกกำลังกายในที่ทำงาน โดยนักวิทยาศาสตร์การกีฬา และการขยับตัว ปรับท่านั่ง ท่าทางการเดิน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน ที่ทำให้เกิด office syndrome โดยนักกายภาพผู้ที่มีประสบการณ์

อ่านต่อ »
Cover-Workshop-เตรียมตัว เตรียมตังค์ก่อนเข้าสู่วัยอิสระ

Workshop “เตรียมตัว เตรียมตังค์ก่อนเข้าสู่วัยอิสระ”

กิจกรรม Workshop “เตรียมตัว เตรียมตังค์ก่อนเข้าสู่วัยอิสระ”

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 Sakid ได้จัดกิจกรรม Workshop “เตรียมตัว เตรียมตังค์ก่อนเข้าสู่วัยอิสระ”  ให้กับบริษัทเอสพี อินเตอร์แมค, รพ.กรุงเทพสิริโรจน์ และการไฟฟ้านครหลวง  โดยวิทยากรนักวางแผนการเงิน คุณจิญาดา พฤกษาชลวิทย์ภายในงานผู้เข้าร่วมได้รับวิธีการวางแผนทางการเงินก่อนถึงวัยเกษียณ และได้ทดลองวางแผนสำหรับตัวเองให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์อีกด้วย

อ่านต่อ »
ท่านั่งทํางานที่ถูกต้อง
URL Copied!

รวม 5 หลักการปรับ “ท่านั่งทํางานที่ถูกต้อง” ลดออฟฟิศซินโดรม

ปัจจัยหลักที่ทำให้คนทำงานมีอาการออฟฟิศซินโดรม คงหนีไม่พ้น การนั่งทำงานที่ยาวนานและส่วนใหญ่คนที่มีปัญหานี้ มักจะนั่งทำงานในท่าที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดปัญหาออฟฟิศซินโดรม ปวดหลัง ปวดคอ ปวดบ่า ทำให้รู้สึกไม่สดชื่นและ Productivity ในการทำงานยังลดลงอีกด้วย รวมไปถึงปัญหาสุขภาพจิตของคนทำงานที่ตามมาจากโรคนี้อีกมากมาย

 

ดูจากผลกระทบแล้ว ถือว่าปัญหาออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่ปัญหาที่ควรมองข้าม บทความนี้จึงอยากมาชวนแก้ปัญหากันที่ต้นเหตุด้วยการปรับการนั่งทำงานเป็น “ท่านั่งทำงานที่ถูก” มี 5 หลักการที่ควรทำ ดังนี้

 

5 หลักการปรับท่านั่งทำงานที่ถูกต้อง แก้ปวดหลัง ออฟฟิศซินโดรม

 

ขอบคุณภาพจาก healthdirect



 

1. ศีรษะตั้งตรง ไม่ยื่นไปข้างหน้า ไม่ก้มหรือเงย

 

2. หลังพิงพนักและตั้งตรง ไม่โน้มไปข้างหน้าหรือแอ่นไปข้างหลัง

 

3. แขนและมือวางระนาบไปกับที่พักแขนหรือโต๊ะ

 

4. นั่งบนเก้าอี้เต็มก้น ทิ้งเท้าลงราบกับพื้น

 

5. เข่าทำมุม 90 – 100 องศา ให้ข้อพับห่างจากขอบเก้าอี้เล็กน้อย

 

1. ศีรษะตั้งตรง ไม่ยื่นไปข้างหน้า ไม่ก้มหรือเงย

 

ท่านั่งทำงานที่ถูกต้อง คือ นั่งให้ศีรษะตั้งตรงกับลำคอ ไม่ก้มหรือเงยหน้า และตั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อปให้อยู่เดียวกับระดับสายตา เพื่อป้องกันไม่ให้เราเผลอก้มจ้องหน้าจอ

 

การที่เราก้ม ยื่น หรือเงยคอเป็นเวลานาน จะทำให้กล้ามเนื้อคอและกระดูกสันหลังรับน้ำหนักของศีรษะมากกว่าปกติ โดยจากงานวิจัยแล้ว ปกติที่ศีรษะคนเราจะมีน้ำหนักอยู่ราว 4 – 5 กิโลกรัม (ประมาณ 11 ปอนด์) ในทุก ๆ 15 องศาที่ศีรษะก้มลง น้ำหนักของศีรษะจะตกลงมาตามแนวกระดูกสันหลังหรือก้าวกระโดด จาก 10 – 12 ปอนด์ เป็น 27 ปอนด์, 40 ปอนด์, 49 ปอนด์, 60 ปอนด์ ตามลำดับ ส่งผลให้กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อคอรับน้ำหนักมาก ทำให้ปวดคอ ปวดหลังบน และอาจทำให้กระดูกคอเสื่อม

 

ขอบคุณภาพจาก washingtonpost.com

 

2. หลังพิงพนัก ตั้งตรง ไม่โน้มไปข้างหน้าหรือแอ่นไปข้างหลัง

 

หลักการนั่งที่ถูกต้องข้อต่อมา คือ นั่งให้หลังพิงชิดกับพนักพิง ตั้งตรง ไม่โน้มไปข้างหน้าหรือนั่งหลังค่อม ดังนั้น จึงควรเลือกเก้าอี้ทำงานที่มีพนักพิงเพื่อรองรับให้หลังตั้งตรง 

 

การที่เรานั่งทำงานโดยหลังตั้งตรง จะช่วยให้กระดูกสันหลังไม่ต้องแบกรับน้ำหนักในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน หากนั่งทำงานแล้วรู้สึกว่าหลังไม่ชนพนัก ไม่มีอะไรรองรับแผ่นหลัง ให้หาเบาะหรือหมอนมาหนุนปรับให้หลังของเราตั้งตรงเป็นปกติให้มากที่สุด 

 

3. แขนและมือวางระนาบไปกับที่พักแขนและโต๊ะ ไหล่ไม่ยก

 

หนึ่งในอาการสำคัญของโรคออฟฟิศซินโดรม คือ อาการปวดคอ บ่า ไหล ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มาจากการที่ไหล่ยกเป็นเวลานาน ซึ่งมาจากท่านั่งทำงานที่ไม่ถูกต้อง 

 

ท่านั่งทำงานที่ถูกต้องนั้น แขนและมือของเราควรจะสามารถทิ้งน้ำหนักวางระนาบไปกับที่พักแขนและโต๊ะ รวมไปถึง ข้อมืออยู่ในระนาบเดียวกับแป้นพิมพ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เรายกข้อมือขึ้นพิมพ์จนเกร็ง ยกหัวไหล่ขึ้นเพื่อยกแขนขึ้นจับเมาส์หรือพิมพ์ ซึ่งอาจเกิดให้เกิดการเกร็งตึงกล้ามเนื้อโดยไม่รู้ตัว หากเกร็งเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้ รั้งกล้ามเนื้อคอและอาจลุกลามจนปวดศีรษะหรือกระตุ้นไมเกรน

 

4. นั่งบนเก้าอี้เต็มก้น ทิ้งเท้าลงราบกับพื้น

 

ควรนั่งทำงานโดยให้นั่งเต็มก้นเพื่อให้น้ำหนักของศีรษะ แผ่นหลัง และกระดูกสันหลังถ่ายเทลงมาที่ก้นและสะโพกทั้งสองข้างเท่า ๆ กัน และทิ้งเท้าลงราบกับพื้น ไม่ลอย หากเท้าลอยจากพื้น ให้หาที่วางเท้ามาเสริมอาจจะเป็นกล่องหรือเก้าอี้นั่งพื้นก็ได้ 

 

สำหรับคนที่ติดนิสัยนั่งทำงานเพียงครึ่งก้นหรือนั่งไม่เต็มก้น น้ำหนักช่วงลำตัวจะกดทับลงมาที่กระดูกก้นกบไม่สม่ำเสมอ ก้นและสะโพกรับน้ำหนักไม่เท่ากัน อาจเกิดอาการปวดปุ่มกระดูกหรือร้าวชาลงขาได้ รวมไปถึง การนั่งไม่เต็มก้นทำให้ท่านั่งผิดไปหมด ตั้งแต่หลังไม่ตรง คอตั้งไม่ตรง ส่งผลให้เกิดออฟฟิศซินโดรม ส่วนการที่นั่งเท้าลอยจากพื้น น้ำหนักจะกดทับลงบริเวณเบาะส่วนหน้าและต้นขาด้านใน เมื่อนั่งเป็นเวลานาน น้ำหนักที่ทิ้งลงมาจะกดทับเส้นเลือดใหญ่ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงขาได้ไม่ดี ตามมาซึ่งอาการชาและปวดเมื่อย 

 

5. เข่าทำมุม 90 – 100 องศา ให้ข้อพับห่างจากขอบเก้าอี้เล็กน้อย

 

หลักการนั่งที่ถูกต้องเวลาทำงาน นอกจากเท้าควรจะวางราบกับพื้นได้แล้ว เข่าควรจะทำมุมทิ้งตัวกับพื้น 90 – 100 องศา ไม่งอหรือพับเข่าไปด้านหลัง และข้อพับหลังเข่าควรจะห่างจะขอบเก้าอี้เล็กน้อย ไม่กดทับข้อเข่า เพื่อให้เลือดไหลเวียนสะดวก 

 

การเลือกเก้าอี้และโต๊ะทำงาน 

 

จากหลักการปรับท่านั่งทำงานที่ถูกต้อง มีหลายข้อที่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้นั่งได้อย่างถูกต้อง คือ เก้าอี้และโต๊ะที่เหมาะสมกับท่าทางและส่งเสริมท่านั่งที่ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ (Ergonimics) 

 

ขอบคุณภาพจาก nytimes.com

 

ต่อไปนี้ คือ คำแนะนำเพิ่มเติมในการเลือกเก้าอี้และโต๊ะเพื่อส่งเสริมท่านั่งทำงานที่ถูกต้องของเรา 


– ความสูงเก้าอี้ ควรมีความสูงเท่ากับช่วงความยาวของขาท่อนล่าง นั่งแล้วสามารถวางเท้าได้ราบพอดีกับพื้น แนะนำให้เลือกซื้อเก้าอี้ที่สามารถปรับระดับความสูงได้ เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานของแต่ละคน

 

– เบาะไม่นุ่มเกินไปหรือเป็นแอ่ง ควรเลือกเบาะเก้าอี้ที่มีความแน่นและนุ่มที่พอเหมาะ นั่งแล้วไม่ยวบลงไป เบาะที่ดีจะช่วยกระจายน้ำหนักจากลำตัวไปทั่วทั้งเบาะ ทำให้นั่งสบาย ก้น สะโพก และกระดูกเชิงกรานไม่ถูกกดทับหรือรับน้ำหนักมากเกินไป

 

– ความลึกของเบาะต้องไม่มากกว่าช่วงต้นขา เพื่อให้นั่งทำงานได้อย่างสบาย สามารถทิ้งเท้าวางกับพื้นและงอเข่าทิ้งตัวลงได้

 

– พนักพิงพอดีกับแผ่นหลัง ควรนั่งให้ก้นชิดกับพนักพิงมากที่สุด เพราะหากนั่งเว้นระยะห่างกับพนักพิงมากเกินไป จะทำให้โน้มตัวหรือแอ่นหลังระหว่างทำงานโดยไม่รู้ตัว  

 

– ระดับที่วางแขนต้องพอดี สามารถงอข้อศอกแล้ววางแขนได้พอดี รวมถึงช่วยในการค้ำพยุงเวลาลุกนั่งได้

 

– ปรับระดับได้ เก้าอี้ทำงานที่ดีควรจะต้องปรับระดับได้หลากหลาย ทั้งความสูง ความต่ำของเบาะ ความสูงของที่พักแขน การเอนไปด้านหลัง เพื่อปรับเก้าอี้ให้นั่งได้สบายสำหรับแต่ละคน

 

– โต๊ะไม่สูงหรือต่ำเกินไป ให้พอดีที่เราสามารถวางแขนราบไปกับโต๊ะได้โดยที่ไหล่ไม่ยก รวมไปถึง การวางหน้าจอให้ได้ระดับพอดีกับการมอง

 

นอกจากนี้ โต๊ะยืนทำงานเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการสลับกับการนั่งทำงาน เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถเดิม ๆ ในการทำงาน เพื่อช่วยลดโอกาสเกิดโรคออฟฟิศซินโดรม ช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้ดี และยังช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้อีกด้วย

 

อย่าลืมหยุดพักและบริหารร่างกายระหว่างทำงาน

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะปรับท่านั่งทำงานได้ถูกต้องแล้ว การนั่งท่าเดิมนาน ๆ ก็ทำให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรมได้อยู่ดี เราควรหยุดพักเบรกให้เป็นนิสัยเพื่อทำสิ่งเหล่านี้ 


– หยุดพักระหว่างทำงานบ้างเพื่อคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ทุก ๆ 25 นาที

 

– ลุกขึ้นเดินบ่อย ๆ หรือลุกไปดื่มน้ำให้เป็นนิสัย 

 

– บริหารร่างกายระหว่างทำงานบ้าง เช่น บริหารคอ หมุนหัวไหล่ ยกขา ดัดนิ้วมือ ยืดเหยียดกับโต๊ะหรือเก้าอี้ เพื่อให้เลือดไหวเวียนไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และให้กล้ามเนื้อที่เกร็งตึงอยู่ ได้ยืดและผ่อนคลายลง

 

สรุป

เรื่องของออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ ที่จะมองข้ามได้ ซึ่งหนึ่งในวิธีการที่จะจัดการกับโรคนี้ คือ การปรับท่านั่งทำงานของเราให้ถูกต้อง รวมไปถึงการเลือกใช้เก้าอี้และโต๊ะที่ได้ความสูงและสามารถปรับระดับส่วนต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสรีระของผู้ใช้งาน 

 

บริษัทของคุณก็สามารถส่งเสริมให้พนักงานมีท่านั่งที่ถูกต้องได้ด้วยการให้ความรู้ การเลือกซื้อเก้าอี้ทำงาน โต๊ะทำงานที่ถูกหลักการยศาสตร์หรือ ergonomics รวมไปถึง ส่งเสริมให้พนักงานมีพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ ลุกขึ้นนั่ง เดิน มีกิจกรรมบริหารร่างกายต่าง ๆ 

 

องค์กรหรือบริษัทของคุณสามารถเริ่มต้นส่งเสริมสุขภาพพนักงานได้ง่าย ๆ ด้วยแอปฯ SAKID ที่สามารถสะกิดพนักงานให้ ลุกขึ้นขยับร่างกาย ระหว่างวันได้ ด้วยเทคนิคการสะกิดให้เกิดพฤติกรรม (Nudge Theory) เพื่อลดโอกาสเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้ รวมไปถึงส่งเสริมสุขภาวะแบบครบองค์ให้กับพวกเขา 

 

อ่านรายละเอียดฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ SAKID ที่นี่ 

บทความที่น่าสนใจ

Sakid thumbnail -mental health

7 วิธีดูแลสุขภาพจิตใจพนักงาน เพื่อสร้างความสุขและประสิทธิภาพในการทำงาน

ในโลกของการทำงานยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกดดัน ปัญหาสุขภาพจิตใจของพนักงานกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกองค์กรต้องให้ความสนใจ จากการสำรวจของ WHO พบว่ากว่า 264 ล้านคนทั่วโลกต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้า และอีกกว่า 284 ล้านคนมีความวิตกกังวลผิดปกติ ซึ่งนอกจากจะส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตพนักงานแล้ว ยังบั่นทอนประสิทธิภาพการทำงานไปด้วย (World Health Organization, 2022) และนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพจิตมีหลายรูปแบบ ได้แก่ ภาวะเครียดเรื้อรัง ความวิตกกังวล ภาวะหมดไฟ โรคซึมเศร้า โดยปัญหาสุขภาพจิตเหล่านี้มีสาเหตุได้หลากหลายด้าน ทั้งจากลักษณะงาน ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน การบริหารจัดการ รวมถึงปัญหาส่วนตัว (Pfeffer, 2018)

อ่านต่อ »
Productivity

Productivity พื้นฐานของการพัฒนาองค์กรอย่างมีคุณภาพ

ความหมายของ Productivity คืออะไร และแนวทางการเพิ่ม “ผลิตภาพ” ในองค์กร โดยที่ไม่ทำร้ายพนักงาน จากปัจจัยต่าง ๆ ที่บริษัทและพนักงานสามารถช่วยกันสร้างได้

อ่านต่อ »
Sakid thumbnail -team

12 กิจกรรม สร้างทีมเวิร์คที่ออฟฟิศ

คุณเคยรู้สึกว่าบรรยากาศในที่ทำงานห่างเหิน ขาดพลังของการร่วมมือร่วมใจกันหรือไม่? ในโลกธุรกิจยุคใหม่ที่มีการแข่งขันสูง การสร้างทีมงานที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จขององค์กร กิจกรรม Team Building คือเครื่องมือที่จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ความไว้วางใจ ความร่วมมือ และการทำงานเป็นทีมอย่างราบรื่น

อ่านต่อ »

กิจกรรม 5ส คืออะไร (เข้าใจง่ายๆ ใน 5 นาที)

กิจกรรม 5ส คือเครื่องมือชั้นเยี่ยมในการจัดระเบียบและทำให้สามารถใช้พื้นที่ขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่แท้จริงนั้นกิจกรรม 5ส คืออะไร มาหาคำตอบไปด้วยกัน

อ่านต่อ »

ประเมินผลการทำงานอย่างไร ไม่ให้ลำบากใจ

ประเมินผลการทำงานอย่างไร ไม่ให้ลำบากใจ

เมื่อฤดูประเมินมาถึง…บอสหลายคนอาจรู้สึกว่าการต้องวิจารณ์หรือพูดถึงข้อดีข้อเสียต่อหน้าคนๆ นั้นตรงๆ…เป็นเรื่องน่าอึดอัด  ส่วนในมุมมองของตัวผู้ถูกประเมินเอง  เมื่อต้องมาฟังข้อเสียหรือเรื่องแย่ๆ ของตน…บางคนก็รู้สึกมีอารมณ์  ไม่ว่าจะผิดหวัง เศร้าเสียใจ หรือโกรธ  นั่นทำให้พวกเขาพูดจาหรือแสดงท่าทีปกป้องตนเองในแบบต่างๆ  แถมไม่ใช่แค่ตอนพูดคุยประเมินกันเท่านั้น  หลังจากนั้นบางคนยังอาจแสดงความไม่พอใจหรือต่อต้านองค์กร ตั้งแต่มาทำงานสาย หยุดงาน จนไปถึงแสดงความก้าวร้าว  พลอยทำให้องค์กรและผู้ร่วมงานอึดอัดและเสียหายไปด้วย…เป็นเรื่องน่าลำบากใจใช่ไหม

อ่านต่อ »
Cover-Sakid-Ws อาหารและหลักโภชนาการ

WORKSHOP อาหารและหลักโภชนาการในการดูแลตัวเอง

กิจกรรม  Workshop “อาหารและหลักโภชนาการในการดูแลตัวเอง”

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม  2566 SAKID  ได้จัดกิจกรรม Workshop “อาหารและหลักโภชนาการในการดูแลตัวเอง” โดยนักกำหนดอาหารที่ให้ความรู้และความเข้าใจเรื่องการดูแลด้านอาหารการปรับใช้กับตัวเอง การอ่านผลเลือดเข้าใจแบบง่ายว่าเราต้องปรับพฤติกรรมด้านไหน รวมทริคสุขภาพดีด้วยการปรับมื้อนี้ให้สุขภาพมากขึ้น การตั้งเป้าหมาย Smart Goal ทำให้ได้จริง

อ่านต่อ »
happinometer
URL Copied!

Happinometer เครื่องมือวัดความสุขได้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง

 

 

หลายครั้งเวลาที่คนทำงานต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงานตรงหน้า ก็อาจทำให้พวกเขาเกิดความกดดัน ความวิตกกังวล ความเครียด โดยภาวะอารมณ์เหล่านี้เป็นภาวะที่คนทำงานบางคนอาจไม่รู้ตัวว่าความสุขนั้นกำลังค่อย ๆ จางหายไป

 

เพราะหลายครั้งที่เรามักหลงลืมความสุข ทำให้กระทรวงสาธารณสุขได้สร้างเครื่องมือชิ้นหนึ่ง นั่นก็คือแบบประเมินความสุข หรือ Happinometer ขึ้น เพื่อให้องค์กรต่าง ๆ นำไปใช้ประเมินความสุขของพนักงาน เพราะอารมณ์มีผลต่อสภาพร่างกายเป็นอย่างมาก ถ้าเราไม่มีความสุข ร่างกายก็อาจจะย่ำแย่ตามไปด้วย แต่ถ้าคนเรามีความสุข ร่างกายก็จะแข็งแรง แจ่มใส และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

 

เพราะความสุขช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

 

หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าอารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวข้องประสิทธิภาพการทำงานของเราอย่างไร ให้ลองนึกถึงวันที่เราอกหัก รู้สึกไม่มีความสุข วันนั้นเราอาจจะรู้สึกไม่มีแรงจะทำอะไร ไม่มีใจอยากจะทำงาน หรือแม้กระทั่งไม่อยากออกจากบ้านด้วยซ้ำ ซึ่งการต้องทำงาน กลายเป็นการต้องบังคับและเข็นตัวเองให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ดังนั้นการทำงานจึงเป็นเพียงการทำให้จบ ๆ ไป ในทางกลับกันหากวันนั้นเรามีความสุข ตื่นมาด้วยความสดใส เราก็พร้อมจะทำงานด้วยความมั่นใจ และมีไอเดียใหม่ ๆ มีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงขึ้น รู้สึกว่างานเป็นเรื่องสนุก

 

นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรู้สึกลอย ๆ เพราะมีงานวิจัยจากออกฟอร์ดที่ออกมาบอกว่าคนทำงานที่มีความสุขจะมีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มสูงขึ้น 13% ความสุขจึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการทำงาน และยังทำให้คนทำงานและองค์กรเต็มไปด้วยอารมณ์บวก ที่ส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ในองค์กรเต็มไปด้วยความเป็นมิตร และเกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการทำงาน

 

ดังนั้นการติดตามและประเมินความสุขของคนในองค์กรจึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อดูแลพนักงานอย่างเอาใจใส่และช่วยให้พวกเขาพบกับความสุขในที่ทำงานไปพร้อม ๆ กัน

 

ความสุขและความพึงพอใจในชีวิตที่เช็กได้จากทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการมาสโลว์

 

หากจะทำความเข้าใจความสุขพื้นฐาน เราอาจมองว่าความสุขคือความพึงพอใจที่เกิดขึ้นในชีวิต ซึ่งมีทฤษฎีสำคัญที่จะมาช่วยขยายความได้มากขึ้น นั่นก็คือ ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการมาสโลว์ ซึ่งเป็นทฤษฎีจิตวิทยาที่คิดค้นโดย อับราฮัม เอช. มาสโลว์ โดยเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1943 ​​ ที่เชื่อว่าการเข้าถึงความต้องการในแต่ละขั้นส่งผลให้เรามีความสุขหรือพึงพอใจได้ ระดับขั้นทั้ง 5 นั้นได้แก่

 

 

1. ความต้องการทางด้านร่างกาย (Physiological Needs)  เช่น การเข้าถึงปัจจัยสี่ เมื่อหิวก็ได้กิน เมื่อเจ็บป่วยก็เข้าถึงการรักษาได้ มีเงินหล่อเลี้ยงชีวิต มีเสื้อผ้าสวมใส่

 

2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) เช่น ความปลอดภัยในการชีวิต ความปลอดภัยจากการถูกคุกคามทางเพศ การมีงานที่มั่นคง การมีเงินเก็บออม

 

3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) เช่น การมีเพื่อน การมีคนรัก การเข้ากลุ่มทางสังคมที่มีความเข้าใจกัน

 

4. ความเคารพนับถือ (Esteem Needs) เช่น ชื่อเสียง การเป็นที่ยอมรับในสังคม การเติบโตในหน้าที่การงาน

 

5. ความสมบูรณ์ในชีวิต (Self-Actualization Needs) เช่น การค้นพบความหมายของชีวิต การค้นพบคุณค่าในตัวเอง

 

ซึ่งหากองค์กรสามารถตระหนักได้ว่าพนักงานแต่ละคนเผชิญอยู่ในลำดับขั้นไหน จะช่วยทำให้เกิดความเข้าใจในตัวพนักงาน และออกแบบนโยบายที่เหมาะสมให้กับพวกเขาเพื่อสร้างความสุขให้พนักงานได้

 

อะไรคือ Happinometer หรือแบบประเมินความสุข

 

จากที่เกริ่นไปข้างต้น จึงเป็นที่มาของการชวนมาทำความรู้จัก Happinometer ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดความสุขที่คนทั่วไปสามารถวัดได้ด้วยตัวเอง เหมือนกับที่ยามป่วยเราสามารถนำปรอทมาวัดระดับไข้ได้ โดย Happinometer จะช่วยวัดความรู้สึกและประสบการณ์ที่สะท้อนจากมิติคุณภาพชีวิตของแต่ละคน ซึ่ง Happinometer จะช่วยให้ทราบค่าคะแนนเฉลี่ยความสุขของแต่ละคน และช่วยให้องค์กรสามารถนำไปประเมิน ออกแบบองค์กรให้สอดรับกับความสุขของพนักงานได้

 

แบบประเมินความสุข

 

ความสุข 9 มิติ ตัวชี้วัดสำคัญของ Happinometer

 

ความสุขที่ Happinometer จะวัดนั้นเป็นการขยายความจากทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการมาสโลว์ในแบบละเอียดขึ้น โดยจะแบ่งเป็น 9 มิติ ได้แก่

 

1. Happy Body (สุขภาพดี) หมายถึง การที่คนในองค์กรมีร่างกายแข็งแรง สมส่วน มีพฤติกรรมการบริโภคที่ดีและพึงพอใจสภาวะสุขภาพกายของตนเอง 

 

2. Happy Relax (ผ่อนคลายดี) หมายถึง การที่คนในองค์กรสามารถจัดสรรเวลาให้ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอและมีคุณภาพ เป็นความพึงพอใจที่ได้ออกแบบชีวิตด้วยตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ 

 

3. Happy Heart (น้ำใจดี) หมายถึง การที่คนในองค์กรได้รู้สึกช่วยเหลือ หรือทำประโยชน์ให้ส่วนรวม มีความพึงพอใจในการสนับสนุน ให้กำลังใจเพื่อนพี่น้อง คนรู้จัก มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง

 

4. Happy Soul (จิตวิญญาณดี) หมายถึง การที่คนในองค์กรมีคุณธรรม ศีลธรรม เข้าใจสิ่งที่ถูกและผิด รู้จักการให้อภัย และมีจิตใจที่ไม่อาฆาตมาดร้าย

 

5. Happy Family (ครอบครัวดี) หมายถึง การที่คนในองค์กรมีความพึงพอใจในครอบครัวที่อยู่ร่วมกัน มีความเชื่อมั่นและเข้าใจครอบครัว มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทั้งกับพ่อแม่ ญาติ ๆ หรือสามีภรรยา และลูก

 

6. Happy Society (สังคมดี) หมายถึง การที่คนในองค์กรมีความสัมพันธ์อันดีกับคนในสังคม สามารถอยู่ร่วมกับคนในสังคมโดยไม่ก่อความเดือดร้อนร้ายแรงได้ ไม่เอารัดเอาเปรียบ และเห็นประโยชน์ของคนในสังคมเป็นสำคัญ

 

7. Happy Brain (ใฝ่รู้ดี) หมายถึง การที่คนในองค์กรมีความพึงพอใจและใคร่เรียนรู้ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง และเข้าใจโลกที่เปลี่ยนผ่านไปเรื่อย ๆ ได้เป็นอย่างดี ปรับตัวได้ทันเหตุการณ์

 

8. Happy Money (สุขภาพเงินดี) หมายถึง การที่คนในองค์กรมีความพึงพอใจด้านการเงิน มีค่าใช้จ่ายที่สมดุล รวมไปถึงมีการทำบัญชีเพื่อบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี

 

9. Happy work-life (การงานดี) หมายถึง การที่คนในองค์กรมีความรู้สึกรักและสนุกในงานที่ได้รับมอบหมาย มีความมั่นใจในอาชีพและรายได้ที่ได้รับ เห็นคุณค่าของตนเองในการทำงาน และเห็นการเติบโตของตัวเองในองค์กร

 

 

ประโยชน์ของการใช้ Happinometer

 

– ได้เช็กความสุขของตนเอง เท่าทันความรู้สึกของตนเอง

 

– ได้ทบทวนประสบการณ์หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชีวิต

 

– องค์กรได้รับรู้ชีวิตและความรู้สึกของคนในองค์กร

 

– ผู้บริหารสามารถนำผลการประเมินมาวางแผน ออกนโยบายที่ช่วยส่งเสริมให้คนทำงานมีความสุขได้

 

ไปลองเช็กความสุขด้วย Happinometer กัน

 

happinometer

 

สำหรับองค์กรหรือบุคคลทั่วไปสามารถวัดประเมินความสุขของตัวเองได้ โดยมีทั้งแบบดาวน์โหลดปริ้นต์ออกมาเพื่อทำลงบนกระดาษ ซึ่งอาจเหมาะกับผู้สูงวัย หรือจะทำบนเว็บไซต์ออนไลน์ก็ได้เช่นกัน โดยสำหรับคนที่สนใจลองทำผ่านเว็บไซต์ออนไลน์สามารถดูตามขั้นตอนได้ดังนี้

 

1. เข้าลิงก์นี้ https://happy.moph.go.th/happinometer

 

2. ลงทะเบียนโดยกรอกข้อมูลส่วนตัวเบื้องต้น 

 

3. อ่านคำชี้แจงแบบประเมินความสุขด้วยตนเอง (Happinometer) โดยมีข้อตกลงเบื้องต้นก็คือ

 

– ความสุขของบุคคลเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่ง Happinometer เหมาะกับการวัดความสุขระยะสั้น (รายครึ่งปี) 

 

– Happinometer เป็นการประเมินประสบการณ์ด้านอารมณ์ และระดับความพึงพอใจในชีวิตโดยรวมทั้งทางบวกและลบ

 

– Happinometer เป็นเครื่องมือวัดความสุขระดับบุคคล โดยเน้นไปที่คนทำงานเป็นหลัก จึงเหมาะกับองค์กรที่ต้องการประเมินความสุขของพนักงาน 

 

– Happinometer สามารถให้ภาพรวมสะท้อนเป็นความสุขขององค์กรได้ 

 

– Happinometer เป็นการวัดระดับความสุขโดยประเมินจากองค์ประกอบคุณภาพชีวิตและความสุข 9 มิติ โดยผู้ทำแบบประเมินต้องตอบตามความรู้สึกที่ใกล้เคียงความรู้สึกของตนเองมากที่สุด มีความซื่อสัตย์ในการตอบ เพื่อให้ผลที่ใกล้เคียงที่สุด

 

4. เริ่มทำแบบทดสอบ ซึ่งประกอบไปด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล จำนวน 14 ข้อ และแบบประเมินความสุขด้วยตนเอง (Happinometer) จำนวน 69 ข้อ โดยให้เลือกคำตอบที่เป็นจริงที่สุด โดยสามารถย้อนกลับมาทำข้อที่ไม่มั่นใจได้

 

5. เมื่อตอบคำถามจนครบ ให้คลิกบันทึกข้อมูล 

 

6. ระบบจะประมวลผลและแสดงผลการประเมินความสุขออกมาเป็น 9 มิติ และความสุขโดยรวม

 

สรุป

 

การเท่าทันความรู้สึกเป็นเรื่องสำคัญของคนทำงาน ซึ่งแต่ละองค์กรอาจต้องเริ่มใส่ใจสุขภาพจิตของคนในองค์กรมากขึ้น เข้าใจภาวะอารมณ์อันหลากหลายของคนในองค์กร และประเมินวัดผลสภาวะอารมณ์เพื่อดูแลและออกแบบองค์กรให้เหมาะสมกับคนทำงาน เพราะคนทำงานคือทรัพยากรทรงคุณค่าที่ต้องรักษาไว้ให้ดี ซึ่ง Happinometer อาจเป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้องค์กรสามารถประเมินสุขภาพจิตของคนทำงานได้ว่าพวกเขากำลังรู้สึกหรือเผชิญปัญหาใดอยู่

 

และนอกจาก Happinometer บางองค์กรอาจลองเลือกใช้แอปพลิเคชันที่ช่วยติดตามความสุขของพนักงานได้ เพื่อดูแลอย่างใกล้ชิด เช่นในแอปพลิเคชัน SAKID ที่มีฟังก์ชันปฏิทินความสุข คอยติดตามความรู้สึกในแต่ละวันของคนในองค์กร ซึ่งจะช่วยให้สามารถวางแผนและออกแบบนโยบายที่เป็นประโยชน์กับการทำงานได้ และส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

 

เพราะความสุขคือสิ่งดี ๆ ที่ผู้คนสามารถมอบให้กันได้เสมอ

บทความที่น่าสนใจ

Cover-จัดสวนขวด-sakid

WORKSHOP สวนขวดจิ๋ว

กิจกรรม  “จัดสวนขวด Terrarium”

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 SAKID  ได้จัดกิจกรรม Workshop “จัดสวนขวด Terrarium”  ให้กับบริษัทเอสพี อินเตอร์แมค โดย Green Terra Station ภายในงานผู้เข้าร่วมได้จัดสวนขวดด้วยตนเอง ได้ทั้งความสนุก และความผ่อนคลาย พร้อมทั้งรับสวนขวดตามแบบฉบับของตนเองกลับไปอีกด้วย  

อ่านต่อ »

การเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ดีขึ้น ด้วยแนวคิดแบบสตาร์ทอัพ

วัฒนธรรมองค์กรแบบสตาร์ทอัพ ถือเป็นวัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จึงไม่แปลกที่ใคร ๆ จะรู้สึกสนใจในสิ่งนี้

อ่านต่อ »
Aot-workshop-SAKID

WORKSHOP ดูแลสุขภาพการกิน กับ SAKID

กิจกรรม  ดูแลสุขภาพการกิน กับ SAKID

วันที่ 9 พฤษภาคม  2567 SAKID  ได้จัดกิจกรรม ดูแลสุขภาพการกิน กับ SAKID ที่สำนักงาน AOT โดยได้ไปออกบูธให้เล่นเกมทายแคลอรี่ในอาหารพร้อมแจกสายวัดรอบเอวน้องสะกิด และได้ให้คำแนะนำด้านโภชนาการส่วนบุคคล โดยการให้ความรู้ในการเลือกกินอาหารในแต่ละมื้อและการจัดสมดุลการกินให้เหมาะสมกับร่างกายตัวเอง

อ่านต่อ »

บูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิด ที่การไฟฟ้านครหลวง เขตสมุทรปราการ

บูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิด ที่การไฟฟ้านครหลวง เขตสมุทรปราการ

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2566 Sakid ได้ออกบูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิดให้กับการไฟฟ้านครหลวง เขตสมุทรปราการ ในกิจกรรม Fun for Fit เพื่อแนะนำการเข้าร่วมโครงการ  “MEA เบิร์นเกินร้อย” เปิดศึกการแข่งกันระหว่างทีมเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี ด้วยการส่งภารกิจสุขภาพผ่านแอพสะกิด และลุ้นรับของรางวัลในแต่ละเดือน

อ่านต่อ »

จัดการอย่างไร ให้ห่างไกล ความเครียด

หากเราพูดถึงคำว่า “ความเครียด” เรานั้นมักจะนึกถึง และบรรยายความรู้สึกว่าเหมือนถูก “บีบคั้น กดดัน อึดอัด” ทำให้เราใช้ชีวิตได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร โดยที่ความเครียดนั้นจะเป็นภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเราต้องเจอกับสถานการณ์ที่รับมือได้ยาก หรือถูกกดดันจากปัจจัยภายนอก จนทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ หรือวิตกกังวลขึ้นมาได้

อ่านต่อ »
Cooking-kabab-SAKID

WORKSHOP Cooking class เคบับ

กิจกรรม  Cooking class เคบับ

วันที่ 6 สิงหาคม  2567 SAKID  ได้จัดกิจกรรม Cooking class เคบับ ที่บริษัท CBRE โดยพนักงานได้เข้าร่วมจำนวน 40 คน ซึ่งนักกำหนดอาหารวิชาชีพ ได้เป็นผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบและมีทริคการดูแลสุขภาพด้านอาหารสำหรับชาวออฟฟิศให้เล่นเกมสุขภาพพร้อมรับของรางวัลกันอีกด้วย คลาสสอนทำเคบับ จะสอนให้ทุกคนทำซัลซาซอสจากมะเขือเทศสด แทนการใช้ซอสมะเขือเทศ การปรุงวัตถุดิบไก่และผักและการห่อม้วนแรป ทำกินเองอร่อยได้ง่ายๆ ที่บ้าน

อ่านต่อ »
สุขภาพจิต พนักงาน
URL Copied!

สุขภาพจิตพนักงาน ปัญหาซ่อนเร้นที่ต้องระวัง

วิถีการทำงานของพนักงานในยุคนี้ มีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียดสะสมและปัญหาสุขภาพจิตต่าง ๆ มากมาย ซึ่งปัญหาสุขภาพจิตพนักงานที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบทั้งต่อชีวิตส่วนตัวของพนักงานและชีวิตการทำงาน เป็นปัญหาซ่อนเร้นที่ในฐานะองค์กรหรือสถานที่ทำงานเองก็ไม่ควรมองข้าม

 

เมื่อทรัพยากรมนุษย์คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการทำงาน และในฐานะของกลุ่มคนที่ทำร่วมกันทำงานแล้ว องค์กรจะมีบทบาทช่วยเหลือพนักงานอย่างไรได้บ้าง มาทำความเข้าใจปัญหาและวิธีจัดการในบทความนี้

 

สุขภาพจิตพนักงาน ปัญหาที่ถูกละเลยมานาน

 

ปัญหาสุขภาพจิตเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล เป็นเรื่องของความรู้สึกและไม่ได้มีบาดแผลหรืออาการทางร่างกายที่แสดงออกโดยชัดเจน ด้วยเหตุนี้ ปัญหาสุขภาพจิตพนักงานจึงมักถูกมองข้ามไป 

 

อย่างไรก็ตาม จากสถิติที่ผ่านมา มีคนทำงานมากถึง 1 ใน 5 ที่ประสบปัญหาสุขภาพจิต และมีมากถึง 1 ใน 20 คนของคนวัยทำงานที่ต้องประสบกับปัญหาสุขภาพจิตขั้นรุนแรง ทั้งภาวะซึมเศร้า ภาวะอารมณ์สองขั้ว (Biporlar Disorder) ภาวะวิตกกังวล (Anxiety Disorders) ภาวะย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder) ภาวะหมดไฟ (Burnout) และอื่น ๆ นอกจากนี้ บริษัทประกันยังระบุว่า ความเสี่ยงทางอารมณ์หรือจิตใจเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายอันดับต้น ๆ ของแผนการรักษาพยาบาลที่บริษัทหรือนายจ้างจัดหาให้

 

แน่นอนว่า ปัญหาสุขภาพจิตที่พนักงานประสบส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของพนักงาน ทั้งนี้ ในมุมของธุรกิจหรือบริษัท สุขภาพจิตของพนักงานที่ย่ำแย่ก็ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการลางาน การเปลี่ยนงาน และยังทำให้ผลิตภาพหรือ Productivity ของบริษัทลดต่ำลง 

 

ปัญหาสุขภาพจิตที่ซ่อนเร้นในการทำงาน

 

ปัญหาสุขภาพจิตพนักงานที่อาจเกิดขึ้นในที่ทำงาน

 

ปัญหาสุขภาพจิตพนักงาน

ขอบคุณภาพจาก championhealth.co.uk

 

ความเหนื่อยและความเครียดจากการทำงานสามารถทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตต่าง ๆ ตามมา โดยสำรวจในปี 2022 พบข้อมูลที่น่าสนใจ ได้แก่ 

 

– 58% ของคนทำงานประสบกับภาวะวิตกกังวลอ่อน ๆ โดย 1 ใน 4 ได้รับการวินิจฉัยทางคลินิกว่ามีภาวะวิตกกังวล (Symtoms of anxiety)

 

– 52% ของคนทำงานประสบกับภาวะซึมเศร้าหรือ Depression เล็กน้อย โดยกว่า 1 ใน 5 ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะซึมเศร้า (Symptoms of depression) 

 

– 67% ของลูกค้ามีภาวะเครียดระดับปานกลางถึงเครียดจัด จากภาระงานที่หนักเกินไปและความเครียดในที่ทำงาน

 

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาสุขภาพจิตพนักงานอย่าง ภาวะหมดไฟหรือเบิร์นเอาต์ ที่เป็นอีกปัญหาสุขภาพจิตที่มีต้นตอสาเหตุจากสถานที่ทำงาน 

 

ปัจจัยในที่ทำงานที่อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตพนักงาน

 

สำหรับปัจจัยในที่ทำงานที่อาจส่งผลให้พนักงานเกิดปัญหาสุขภาพจิตต่าง ๆ ได้นั้น องค์การอนามัยโรค (WHO) ก็ได้ระบุปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ที่ทุกองค์กรควรให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น…

 

– ภาระงานที่หนักหนาเกินไป (Workloads)

 

– การขาดอำนาจในการจัดการงานอย่างอิสระ

 

– ระยะเวลาการทำงานที่ยาวนานเกินไป โดยที่ไม่มีการหยุดพัก

 

– ขอบเขตงานที่ไม่ชัดเจน

 

– การเหยียดเพศ เหยียดความสามารถ เหยียดเชื้อชาติ สถานบันการศึกษา

 

– ความรุนแรงทั้งจากการคุกคาม การข่มขู่ การรังแก

 

– ความรู้สึกโดดเดี่ยว แปลกแยกจากทีม

 

เมื่อสุขภาพจิตของพนักงานดีพร้อม ประโยชน์จะตกที่ทุกคน

 

เมื่อพนักงานมีสุขภาพจิตที่ดี พนักงานก็ย่อมมีแรงใจและแรงกายในการดูแลตัวเอง รวมไปถึงมีจิตใจที่พร้อมสำหรับการทำงาน ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานและการผลิตให้กับองค์กรอย่างไม่ต้องสงสัย 

 

– เพิ่มผลิตภาพหรือ Productivity ในการทำงานให้กับบริษัท

 

– ลดอัตราการเปลี่ยนงานหรือลาออก รักษาพนักงานเดิมได้นานขึ้น

 

– ลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง จากการขาดงาน การหาพนักงานใหม่

 

และเพื่อให้องค์กรตระหนักถึงผลกระทบของปัญหาสุขภาพจิตพนักงาน WHO ก็ได้ทำสำรวจและประเมินปัญหาสุขภาพจิตเป็นมูลค่า นั่นคือ ภาวะซึมเศร้าและภาวะวิตกกังวลของพนักงานทำให้ Productivity การทำงานลดลงเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ จากงานวิจัยเดียวกันก็ประเมินได้ว่า ทุก ๆ 1 ดอลลาร์สหรัฐที่องค์กรใช้กับการจัดการปัญหาสุขภาพจิตพนักงาน ช่วยให้ได้กำไรกลับมา 4 ดอลลาร์สหรัฐ 

 

เมื่อขยับแว่นมามองในระดับองค์กรแต่ละองค์กรแล้ว การส่งเสริมให้พนักงานมีสุขภาพจิตที่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ส่งผลดีต่อองค์กร แล้วบริษัทหรือองค์กรจะนโยบายเพื่อสนับสนุนสุขภาพจิตของพนักงานได้อย่างไรบ้าง?

 

บริษัทและองค์กรจะช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตพนักงานได้อย่างไร

 

 

จุดเริ่มต้นการส่งเสริมสุขภาพจิตพนักงานอย่างง่าย ๆ และเริ่มได้ทันทีผ่านการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร โดยเฉพาะในบทบาทของเจ้าของกิจการ หัวหน้างาน การทักทายและสอบถามเรื่องราวความเป็นไปในชีวิต หมั่นสังเกตและถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของพนักงานก็จะช่วยลดความตึงเครียด และเป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานกล้าที่จะปรึกษาปัญหามากขึ้น 

 

สำหรับแนวทางในการจัดการส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีในที่ทำงานอย่างจริงจัง ก็มีแนวทางมาฝาก 5 แนวทางเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ได้แก่ 

 

1. เข้าใจสถานการณ์ปัญหาสุขภาพจิตในองค์กร

 

เชื่อว่า ฝ่ายบุคคลหรือองค์กรใดก็ตามที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ คงตระหนักความสำคัญของปัญหาสุขภาพจิตพนักงานกันเบื้องต้นอยู่แล้ว ทั้งนี้ หากต้องการสำรวจภาวะสุขภาพจิตภายในองค์กร อาจเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการใช้แบบประเมินความเครียด (ST-5) หรือคำถามประเมินความเครียด 5 ประการ ได้แก่

 

1. มีปัญหาการนอน นอนไม่หลับหรือนอนมาก

 

2. มีสมาธิน้อยลง

 

3. หงุดหงิด / กระวนกระวาย / ว้าวุ่นใจ

 

4. รู้สึกเบื่อ / เซ็ง

 

5. ไม่อยากพบปะผู้คน 

 

หรือหากใช้โปรแกรมผู้ช่วย Employee Assistance Program (EAP) ที่เป็นแอปพลิเคชันคอยสอบถามอารมณ์ความรู้สึกของพนักงานในแต่ละวัน เพื่อประเมินความเครียดและปัญหาสุขภาพจิต พร้อมแจ้งเตือนปัญหาให้กับฝ่ายบุคคลหรือองค์กร

 

2. มีสวัสดิการที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพจิต

 

ทางที่บริษัทหรือองค์กรจะจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตได้โดยตรง ก็คือ การออกนโยบายและสวัสดิการสุขภาพที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตของพนักงานอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสามารถทำได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาสุขภาพจิต เงินช่วยค่ารักษาพยาบาล มีนักจิตวิทยาให้พนักงานปรึกษา มีโปรแกรมผู้ช่วยพนักงานที่ส่งเสริมสุขภาวะกายและใจ หรือจัดมุมพักผ่อน/มุมเล่นเกมคลายเครียดในออฟฟิศ

 

3. ใช้โปรแกรมผู้ช่วย Employee Assistance Program (EAP)

 

SAKID โปรแกรมผู้ช่วยพนักงาน ช่วยดูแลสุขภาพพนักงานอย่างครบองค์

 

ฟังก์ชันหลัก ๆ ของ SAKID โปรแกรมผู้ช่วยพนักงานหรือ Employee Assistance Program (EAP) คือ การนำมาดูแลสุขภาวะกายและใจของพนักงาน ส่งเสริมให้พนักงานมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น

 

– การสอบถามอารมณ์ความรู้สึกในแต่ละวัน 

 

– การ “สะกิด” ให้พนักงานออกกำลังกาย ลุกขึ้นไปดื่มน้ำ มอบหมายภารกิจให้เดิน ฯลฯ

 

– ช่วยประเมินความเสี่ยงสุขภาพด้านต่าง ๆ รายงานออกมาเป็น Report ให้องค์เห็นปัญหาอย่างชัดเจน

 

– มีฟีเจอร์ที่เชื่อมต่อกับนักจิตวิทยา นักควบคุมอาหาร และนักวิทยาศาสตร์การกีฬาให้พนักงานปรึกษา

 

ดูฟีเจอร์ของ SAKID ทั้งหมด ที่นี่

 

4. ส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา 

 

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คนทำงานมีความเครียดจนอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตต่าง ๆ คือ ความรู้สึกโดดเดี่ยว รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบหรือเผชิญปัญหาอยู่คนเดียว 

 

วิธีการจัดการกับปัญหาในข้อนี้ คือ “การสื่อสาร” องค์กรหรือหัวหน้างานควรหมั่นสอบถามความเป็นไปของงาน สอบถามถึงปัญหาและเสนอทางช่วยเหลือ หรือในปัจจุบัน บริษัท Startup หลายแหล่ง มักจัดเซสชันประชุมสั้น ๆ ที่เรียกว่า “Check-in” ขึ้นเพื่อพูดคุย สอบถามความเป็นไปต่าง ๆ ในทุก ๆ วันหรือสัปดาห์ละครั้ง หรือจัดเซสชันรับฟีดแบก-ปรึกษาปัญหาเดือนละครั้ง เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสาร 

 

5. ส่งเสริมการดูแลสุขภาพกายและใจ

 

บริษัทหรือองค์กรสามารถจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพแบบครบองค์ให้กับพนักงานได้ง่าย ๆ เริ่มจากกิจกรรมที่จัดได้เรื่อย ๆ ในออฟฟิศเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศหรือสร้างความสัมพันธ์ในองค์กร เช่น Company Dinner ปาร์ตี้เล็ก ๆ ทุกวันศุกร์ หรือกิจกรรมออกกำลังกาย/ทำกิจกรรมสนุก ๆ ประจำเดือน 

 

Sakid App

เกมภารกิจสะกิดสุขภาพส่วนตัวจาก SAKID นับจำนวนก้าวเดิน

 

หรือจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น

 

– กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพจิต เช่น อบรมสอนการหายใจ-การทำสมาธิ อบรมวิธีรับมือและจัดการอารมณ์ในชีวิตประจำวัน 

 

– กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพกาย เช่น กิจกรรมลดน้ำหนัก กิจกรรมออกกำลังกาย กิจกรรมพักเบรกยืดเหยียดร่างกาย

 

– มอบหมายภารกิจดูแลสุขภาพที่เน้นการสร้างพฤติกรรมจาก SAKID เช่น เกมภารกิจสะกิดสุขภาพส่วนตัว แข่งขันกับเพื่อนในทีมด้วย สะกิดแก๊ง เกมภารกิจปรับการทานอาหารเฉพาะบุคคล กิจกรรมสะสมคะแนนความสุขในทุกวัน ฯลฯ 

 

 

สรุป

 

เรื่องของสุขภาพจิตก็ไม่ได้มีความสำคัญน้อยไปกว่าเรื่องของสุขภาพกาย ในฐานะองค์กรหรือบริษัทเองก็ไม่ควรมองข้ามการส่งเสริมและสวัสดิการที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีให้กับพนักงาน ซึ่งในบทความนี้ ได้แชร์แนวทางสำหรับองค์กรไว้ ไม่ว่าจะเป็นการตระหนักถึงปัญหา สวัสดิการที่เกี่ยวข้อง โปรแกรมและไอเดียจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพจิตพนักงานต่าง ๆ 

 

หวังว่า บทความนี้หรือ SAKID จะสามารถช่วยให้คุณสามารถส่งเสริมสุขภาพกายและใจของพนักงานให้ดีขึ้นได้ 

บทความที่น่าสนใจ

Cover-Healthy Canteen-sakid

WORKSHOP Healthy Canteen

กิจกรรม  “อบรม พ่อครัว แม่ครัว ให้ทำอาหารสุขภาพมากขึ้น”

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2565  SAKID  ได้จัดกิจกรรม Workshop  “อบรม พ่อครัว แม่ครัว ให้ทำอาหารสุขภาพมากขึ้น”

อ่านต่อ »
Sakid thumbnail -productivity

7 เคล็ดลับง่าย ๆ เพิ่ม Productivity ให้ปัง ทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว

คุณเคยรู้สึกไหมว่า ทำไมเพื่อนร่วมงานบางคนถึงได้ดูเก่งและประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว แถมยังมีเวลาไปเที่ยว ไปช็อปปิ้ง ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ได้อีก คุณอยากรู้ไหมว่าพวกเขามีเคล็ดลับอะไรในการเพิ่ม Productivity ให้ชีวิตปังขนาดนั้น?

อ่านต่อ »
Sakid -thumbnail -เมื่อมีคนในองค์กร มีไขมันในเลือดสูง

ทำอย่างไร เมื่อคนในองค์กรมีไขมันในเลือดสูง

ทุกธุรกิจ ทุกองค์กร มีการจัดการคนทำงานในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ถ้าวันนี้ลองสังเกตดูว่า พนักงานของเรา ยังมีความสุขในการทำงานหรือไม่ การทำงานของแต่ละคนมีประสิทธิภาพที่ตอบโจทย์องค์กรมากแค่ไหน และคุณภาพชีวิตของพนักงานดีขึ้นทุกด้านรึเปล่า หากผู้นำหรือผู้บริหารสามารถมองจุดนี้ได้ ธุรกิจก็จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน

อ่านต่อ »

แจกแจง “กิจกรรม 5 ส มีอะไรบ้าง” เพื่อการทำงานในองค์กรที่ดียิ่งขึ้น

เพราะสภาพแวดล้อมในที่ทำงานก็เป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพของคนในองค์กร ยิ่งสภาพแวดล้อมดี คนทำงานก็สุขภาพดีไปด้วย ลองหันมาใช้แนวคิด 5 ส. กัน

อ่านต่อ »
Sakid thumbnail-MBTI

MBTI ถอดบุคลิกภาพ ไขความสำเร็จในการทำงานร่วมกัน

คุณเคยรู้สึกหงุดหงิดกับเพื่อนร่วมงานที่มีบุคลิกตรงข้ามกับคุณไหม คุณอาจเป็นคนเปิดเผย ชอบความตื่นเต้น แต่ต้องมาทำงานกับคนเงียบขรึม ชอบทำอะไรคนเดียว บางครั้งก็ทำให้เกิดความขัดแย้งและไม่เข้าใจกันได้ ความแตกต่างทางบุคลิกภาพเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ไม่ใช่อุปสรรคที่ทำให้เราทำงานร่วมกันไม่ได้ หากเรามีความเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกัน

อ่านต่อ »
โรคที่เกิดจากการทำงาน

10 โรคจากการทำงาน ที่ HR สามารถช่วยป้องกันได้

เพราะพนักงงานคือคนสำคัญที่องค์กรต้องคอยดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ชวนไปดู 10 โรคที่เกิดจากการทำงาน และวิธีการที่แต่ละองค์กรสามารถป้องกันโรคภัยให้กับพนักงานได้

อ่านต่อ »
URL Copied!

[Case Study] ตัวอย่างสวัสดิการพนักงานจากทั่วโลก

เชื่อหรือไม่ว่า ‘คนทำงาน’ คือสิ่งที่องค์กรควรลงทุนมากที่สุด ไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องจ่ายเพื่อเป็นต้นทุนการผลิต แต่พวกเขาคือ ‘สินทรัพย์’ สำคัญขององค์กร

 

ในอดีตหลายองค์กรอาจมองว่าทุกการจ้างงานเป็นการเสียเงินไปกับต้นทุนโดยที่ไม่ได้มองในมิติของการพัฒนาแรงงาน หรือแม้แต่ความเป็นมนุษย์ของคนทำงานที่มีการเปลี่ยนแปลง เติบโต และเรียนรู้อยู่เสมอ

 

แต่ปัจจุบันมีแนวคิดของการให้ความสำคัญกับคนทำงานมากขึ้น โดยมองคนทำงานเป็น ‘สินทรัพย์มนุษย์’ (Human Asset) ซึ่งเกิดจากแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่มองว่าทุนไม่ใช่เพียงเม็ดเงิน แต่ยังมีอีกหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นทุนทางธรรมชาติ ทุนทางสังคม รวมไปถึงทุนมนุษย์

 

Lynda Gratton และ Sumantra Ghoshal ได้ให้ความหมายของ “ทุนมนุษย์” ว่าเป็นส่วนผสมของสามสิ่งก็คือ ทุนทางปัญญา (Intellectual Capital) ทุนทางสังคม และทุนทางอารมณ์

 

ความสำคัญของทุนมนุษย์คือการเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล ที่ไม่สามารถย้านโอนข้อมูลไปให้คนอื่นได้ง่าย ๆ นี่จึงเป็นคุณค่าสำคัญที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพให้และศักยภาพให้องค์กรได้ หากเลือกลงทุนกับทุนมนุษย์นี้ โดยการลงทุนที่ว่าอาจไม่ได้มีแค่เรื่องเงินเท่านั้น เพราะทุนมนุษย์นับเป็นสินทรัพย์ที่ไม่อาจวัดได้ (Intangible Assets) ดังนั้น การออกแบบเพื่อต่อยอดสินทรัพย์นี้จึงจำเป็น เพราะทุนมนุษย์คือการเป็นทุนที่ใช้แล้วไม่มีวันหมด นอกจากนี้ หากยิ่งเราใช้งานยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพยิ่งเพิ่มมูลค่า ทุนมนุษย์ไม่มีค่าเสื่อมแต่กลับพัฒนาเพิ่มขึ้นตามประสบการณ์

 

หนึ่งในการลงทุนกับทุนมนุษย์คือ ‘สวัสดิการ’ ซึ่งเป็นบริการที่องค์กรจะมอบให้คนทำงานได้ เพื่อเสริมศักยภาพและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่พนักงาน และทำให้คนในองค์กรเกิดความผูกพันและยิ่งเห็นคุณค่าในงานที่ทำมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ทั้งองค์กรและคนทำงานได้เติบโตไปด้วยกัน

 

ชวนมาดูสวัสดิการจากพนักงานทั่วโลกว่าพวกเขาได้รับสวัสดิการอะไรกันบ้าง และเราจะหยิบมาใช้อย่างไรดี?

 

สวัสดิการคืออะไร

 

ก่อนอื่น เราอาจต้องมาทำความเข้าใจว่าสวัสดิการคืออะไร โดย ‘สวัสดิการ’ หมายถึง บริการหรือกิจกรรมที่องค์กรจัดหาให้กับพนักงาน เพื่อให้พวกเขาได้รับความสะดวกสบายในการทำงาน และมีความมั่นคงในอาชีพมากขึ้น มีหลักประกันในการดำเนินชีวิต และได้รับประโยชน์ที่นอกเหนือไปจากเงินเดือนที่ได้รับอยู่ประจำ ซึ่งอาจครอบคลุมตั้งแต่สุขภาพ การพัฒนาตนเอง ครอบครัว หรือสภาพจิตใจ สวัสดิการนี่เองจะเป็นตัวช่วยลดปัญหายุ่งยากในชีวิต และทำให้สามารถโฟกัสกับงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

 

ความสำคัญของการให้สวัสดิการ

 

– ช่วยสร้างกำลังใจให้แก่พนักงาน

 

– ทำให้พนักงานมีความสุขและส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพชีวิต

 

– ดึงดูดคนทำงานเก่ง ๆ ให้อยากเข้ามาทำงานในองค์กร 

 

– สร้างภาพลักษณ์องค์กรในด้านที่ดี เอาใจใส่คนทำงาน

 

สวัสดิการในประเทศไทย

 

สำหรับในไทยนั้น ได้มีการกำหนดสวัสดิการไว้ใน 2 รูปแบบ ได้แก่

 

  1. สวัสดิการตามกฎหมาย (Legal Welfare) : เป็นสวัสดิการที่ทุกบริษัทต้องจัดหาให้แก่พนักงาน ได้แก่

 

– น้ำสะอาดสำหรับดื่ม ในจำนวนที่เพียงพอต่อจำนวนคน

 

– ห้องน้ำและห้องส้วมแยกสำหรับลูกจ้างชายและลูกจ้างหญิง และในกรณีที่มีลูกจ้าง ที่เป็นคนพิการ ให้นายจ้างจัดให้มีห้องน้ำและห้องส้วมสำหรับคนพิการแยกไว้โดยเฉพาะ

 

– มีสิ่งจำเป็นในการปฐมพยาบาลและการรักษาพยาบาล

 

  1. สวัสดิการนอกเหนือกฎหมาย (Special Welfare) : เป็นสวัสดิการที่แต่ละองค์กรสามารถออกแบบ จัดสรรได้ด้วยตัวเอง เช่น

 

– โบนัส

 

– เบี้ยขยัน

 

– เงินค่าเดินทาง

 

– การประกันสุขภาพ หรือ ประกันชีวิต

 

– วันหยุดอื่น ๆที่ได้รับค่าจ้าง

 

– ห้องออกกำลังกาย

 

– ค่าอาหาร

 

 

สำรวจ 10 ตัวอย่างสวัสดิการพนักงานที่น่าสนใจจากทั่วโลก

 

1. สวัสดิการในการส่งเสริมการเรียนรู้

 

เพราะความรู้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางองค์กรที่เข้าใจด้านทุนมนุษย์จึงมักให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน โดยการมอบสวัสดิการเป็นเงินสำหรับเข้าเรียนคอร์สที่สนใจ โดยไม่ต้องเกี่ยวกับสายงานที่ทำอยู่ก็ได้ หรือบางบริษัทก็มอบสวัสดิการเรียนต่อปริญญาโทหรือปริญญาเอกให้ด้วย เพื่อพัฒนาบุคลากรของเขาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

2. สวัสดิการ Work From Home

 

หลังจากเกิด COVID-19 ก็ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตบางส่วนของคนไป โดยเฉพาะรูปแบบการทำงาน ที่ทำให้เกิดวิธีการ ‘Work From Home’ ขึ้น ซึ่งมีพนักงานบางส่วนชื่นชอบการ Work From Home และทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เมื่อ COVID-19 ค่อย ๆ จางหายไป แต่รูปแบบ Work From Home กลายเป็นความคุ้นชินของหลาย ๆ คน บางบริษัทจึงเริ่มมีนโยบายให้พนักงานเลือกเข้าออฟฟิศหรือทำงานที่บ้านก็ได้มากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวก และให้พนักงานได้เลือกสภาพแวดล้อมที่อยากทำงาน

 

3. สวัสดิการเข้าพบจิตแพทย์

หลายปีมานี้ ปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มสูงขึ้น ถึงขั้นที่ WHO ได้บัญญัติให้การ ‘เบิร์นเอาต์’ เป็นโรคชนิดหนึ่ง หลายองค์กรจึงเริ่มหันมาให้ความสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพจิตของพนักงาน เพราะเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่องานในหลายภาคส่วน ทั้งประสิทธิภาพ และความสัมพันธ์ในองค์กร โดยปัจจุบันมีการมอบสวัสดิการเป็นการเบิกค่าใช้จ่ายในการเข้าพบจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัดได้  เพื่อช่วยดูแลสุขภาพใจให้กับพนักงานนั่นเอง 

 

4. สวัสดิการประกันสุขภาพ

 

สวัสดิการประกันสุขภาพ นับเป็นสวัสดิการที่แทบทุกบริษัทได้มอบให้แก่พนักงาน เพราะเรื่องสุขภาพกายนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของมนุษย์ โดยบริษัทอาจมอบให้ทั้งในรูปแบบประกันสุขภาพ ประกันกลุ่ม หรือแม้แต่ประกันชีวิต เพื่อสร้างความสบายใจให้แก่คนทำงานว่าในยามที่เจ็บป่วย พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

5. สวัสดิการห้องฟิตเนสฟรีพร้อมโปรแกรมออกกำลังกาย

 

ในยุคสมัยที่คนหันมาใส่ใจสุขภาพและการออกกำลังกายมากขึ้น สวัสดิการห้องฟิตเนสพร้อมโปรแกรมออกกำลังกายจึงเป็นอีกสวัสดิการที่หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มมอบให้แก่พนักงาน โดยมีทั้งการสร้างห้องฟิตเนสในออฟฟิศ หรือการทำบัตรสมาชิกฟิตเนสให้ รวมไปถึงการมีโค้ชสุขภาพที่ช่วยออกแบบโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น โปรแกรมลดน้ำหนักของพนักงาน โดยบริษัทที่นำร่องไปก่อนแล้วคือบริษัททำรองเท้าที่เรารู้จักกันดีอย่าง Reebok และบริษัทเทคโนโลยีเจ้าใหญ่อย่าง Microsoft

 

 

6. สวัสดิการผ่าตัดแปลงเพศฟรี

 

ความเท่าเทียมทางเพศเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่องค์กรอาจต้องหันมาใส่ใจมากขึ้น โดยบางองค์กรได้เริ่มให้สวัสดิการผ่าตัดแปลงเพศ เพื่อให้กำลังใจและให้คุณค่ากับความหลากหลายทางเพศ และทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยกับชุมชน LGBTQ+

 

7. สวัสดิการนําสัตว์เลี้ยงไปทำงานได้

 

เพราะสภาพแวดล้อมมีผลต่อการทำงาน และสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้ออฟฟิศมีความสุขมากขึ้น หลายบริษัทจึงเริ่มมีสวัสดิการการนำสัตว์เลี้ยงมาทำงานได้ นอกจากจะช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ และสร้างความผ่อนคลายให้คนทำงาน ยังมีงานวิจัยที่บอกว่า ชาว Gen Z 50% นั้นจะเลือกทำงานกับบริษัทที่อนุญาตให้นำสุนัขมาออฟฟิศได้ด้วย โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ทำไปแล้ว

 

8. สวัสดิการ Menstrual Leave

 

เพราะประจำเดือนเป็นเรื่องใหญ่ของผู้หญิง และประจำเดือนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หลายบริษัทที่เห็นถึงความสำคัญของความเท่าเทียมทางเพศจึงเริ่มมีสวัสดิการลาหยุดสำหรับวันที่ผู้หญิงมีประจำเดือน เพราะหลายคนมักมีอาการที่ส่งผลกระทบต่อการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้อง เวียนหัว หรืออารมณ์ไม่คงที่ ซึ่งเป็นเหมือนการป่วยอย่างหนึ่ง จึงจำเป็นต้องได้รับการพักผ่อน

 

9. สวัสดิการโรงอาหาร

 

เพราะอาหารเป็นเรื่องสำคัญของมนุษย์ การได้รับอาหารที่โภชนาการที่ดี ส่งผลต่อสุขภาพกายและใจของพนักงาน หลายบริษัทจึงเริ่มมีสวัสดิการโรงอาหาร เพื่อดูแลพนักงานให้ได้กินดี อยู่ดี โดยปัจจุบันมีคอนเซปต์  โรงอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ใช้บริการ (Healthy Canteen) ที่มาเป็นตัวช่วยองค์กรในการออกแบบเมนูที่อร่อยแต่ยังได้คุณค่าสารอาหารครบถ้วนด้วย

 

10. สวัสดิการโปรแกรมดูแลสุขภาพ

 

แม้ว่าหลายองค์กรจะมีสวัสดิการประกันสุขภาพแล้ว แต่อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือสวัสดิการโปรแกรมดูแลสุขภาพ ที่จะช่วยออกแบบชีวิตให้พนักงานได้ดูแลตัวเอง และมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น โดยปัจจุบันมีผู้ช่วยออกแบบโปรแกรมสุขภาพเช่น SAKID ที่มีบริการหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภารกิจสุขภาพรายบุคคล การชวนทำปฏิทินความสุข การเป็นโค้ชสุขภาพพนักงานส่วนตัว หรือแม้แต่การเวิร์กช็อปออนไลน์เกี่ยวกับสุขภาวะต่าง ๆ โดยสวัสดิการโปรแกรมสุขภาพนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้พนักงานเจ็บป่วยทั้งทางกายและใจ และมีประสิทธิภาพในการทำงานได้มากยิ่งขึ้น

 

สรุป

 

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ‘คนทำงาน’ คือสินทรัพย์ที่องค์กรควรลงทุนด้วยมากที่สุด เพราะเป็นสินทรัพย์ที่สามารถพัฒนา ต่อยอด และเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กรได้อีกมหาศาล การดูแลพนักงานจึงเป็นเรื่องที่ควรทำ โดยเฉพาะการลงทุนกับ ‘สวัสดิการพนักงาน’ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนทำงาน และทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพและศักยภาพเพิ่มมากขึ้น เพราะไม่ต้องกังวลชีวิตในมิติอื่น ๆ 

 

ซึ่งจากตัวอย่างสวัสดิการที่พูดถึงไปนั้น ก็เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งจากสวัสดิการพนักงานทั่วโลก ซึ่งอาจทำให้หลาย ๆ องค์กรได้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ และร่วมกันออกแบบสวัสดิการที่เหมาะสมกับองค์กรได้

 

โดยเฉพาะบางสวัสดิการที่มีผู้ช่วยให้จัดการได้ง่ายขึ้น อย่างเช่น สวัสดิการโรงอาหาร  หรือสวัสดิการโปรแกรมดูแลสุขภาพ ที่ล้วนสำคัญต่อการดูแลพนักงาน และเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน ที่หากองค์กรลงทุนไปแล้ว ก็จะมีแต่ได้กับได้ เพราะเมื่อพนักงานมีชีวิตที่ดี องค์กรก็จะได้คนที่พร้อมในการทำงานเพื่อให้เติบโตไปด้วยกัน

บทความที่น่าสนใจ

MEA-Fatty model-SAKID

WORKSHOP MEA Fatty model

กิจกรรม MEA Fatty model

วันที่ 18 มิถุนายน  2567 SAKID  ได้จัดกิจกรรม MEA Fatty model สำหรับผู้ที่มีปัญาไขมันในเลือดสูงและน้ำหนักเกินเกณฑ์ โดยที่ทีมนักกำหนดอาหารวิชาชีพ เข้ามาจัดกิจกรรมโดยแบ่งเป็น 4 ฐานที่เชื่อมโยงกับการลดไขมัน คือ ฐานน้ำตาล ที่จะมีเกมให้เล่นและแฝงความรู้เรื่องการเลือกเครื่องดื่มปริมาณน้ำตาลแผงที่อยู่ในอาหาร ฐานไขมัน จะมีเกมให้คิดว่าอาหารอันไหนที่ไขมันมากสุดและน้อยสุดโดยที่จะสอนเรื่องการเลือกใช้น้ำมันประกอบอาหาร ฐานโปรตีนการเลือกกินอาหารส่วนของเนื้อสัตว์ และฐานโซเดียม ที่จะมาให้ความรู้เรื่องอาหารที่กินอยู่ในชีวิตประจำวันว่ามีโซเดียมประมาณเท่าไร และการเลือกกินอย่างถูกต้องให้สมดุลเพื่อที่จะให้ลดไขมันลงได้

อ่านต่อ »
Sakid thumbnail -พนักงานสุขภาพดี

พนักงานสุขภาพดีได้ในออฟฟิศ กับ กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ

กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพในช่วงฝนตก หรือ อากาศร้อน การจะออกไปข้างนอกก็ลำบาก ได้แต่อยู่ในออฟฟิศเราจะมาดูกันว่าในออฟฟิศสามารถสร้างกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพอะไรได้บ้าง เพื่อให้สุขภาพพนักงานที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องออกไปไหนก็สุขภาพดีได้ ไม่ว่าจะจัดคลาสที่มีวิทยากรให้ความรู้แบบออนไลน์หรือไปจัดกิจกรรมถึงที่ทำงาน การมีอาหารสุขภาพคอยซัพพอร์ต หรือบรรยากาศในการทำงานที่ผ่อนคลาย

อ่านต่อ »
Smart Office

[เคล็ดลับ] สร้าง Smart Office ที่ดีเพื่อองค์กรของคุณ

ในยุคหลังโควิด เกิดการปรับตัวขององค์กรมากมาย หนึ่งในนั้นคือการปรับเปลี่ยนองค์กรให้เป็น Smart Office ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้คนทำงานมากขึ้น แนะนำเคล็ดลับ

อ่านต่อ »

Workshop เริ่มต้นสุขภาพดีทำได้ทุกวัน #workshop3อ #อาหาร

ดูแลสุขภาพพนักงาน ด้วยการให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เรื่องอาหารการกิน , Workshop การกิน , Health talk update ความรู้ ด้านโภชนาการ หรือ Cooking class โดยนักกำหนดอาหารวิชาชีพที่มีประสบการณ์ ตัวอย่างหัวข้อ WORKSHOP ขอใบเสนอราคา วัตถุประสงค์    🟠 เข้าใจและรู้หลักการในการเลือกกินประเภทไขมันให้ดีต่อสุขภาพ  

อ่านต่อ »
Cover-Sakid-Ws อาหารและหลักโภชนาการ

WORKSHOP อาหารและหลักโภชนาการในการดูแลตัวเอง

กิจกรรม  Workshop “อาหารและหลักโภชนาการในการดูแลตัวเอง”

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม  2566 SAKID  ได้จัดกิจกรรม Workshop “อาหารและหลักโภชนาการในการดูแลตัวเอง” โดยนักกำหนดอาหารที่ให้ความรู้และความเข้าใจเรื่องการดูแลด้านอาหารการปรับใช้กับตัวเอง การอ่านผลเลือดเข้าใจแบบง่ายว่าเราต้องปรับพฤติกรรมด้านไหน รวมทริคสุขภาพดีด้วยการปรับมื้อนี้ให้สุขภาพมากขึ้น การตั้งเป้าหมาย Smart Goal ทำให้ได้จริง

อ่านต่อ »
ไขมันพอกตับ-SAKID

ทำอย่างไร เมื่อคนในองค์กรไขมันเกาะตับ

ในปัจจุบัน พนักงานในองค์กรหลายแห่งต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการทำงานหนักและการใช้ชีวิตที่ไม่สมดุล ในยุคที่การทำงานเต็มไปด้วยความเครียดและความเร่งรีบ ปัญหาสุขภาพของพนักงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ  และหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยคือ “ไขมันเกาะตับ” ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพชีวิตของบุคลากรได้อย่างมาก

อ่านต่อ »
URL Copied!
work life balance คือ

Work Life Balance คืออะไร ทำไมจึงสำคัญกับการทำงานยุคใหม่

“Work life balance” เป็นคำที่ถูกพูดถึงบ่อยในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเป็นตามโซเชียลมีเดีย บทความเกี่ยวกับการทำงาน หรือในพอดแคสต์ ซึ่งปรากฏการณ์นี้ ก็ถือเป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนว่า สังคมการทำงานในทุกวันนี้ ขาดแคลนความสมดุล จนคนทำงานต้องถามหาสิ่งที่เรียกว่า “Work-life balance” 

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องของ Work-life balance มักจะถูกพูดถึงในมุมของคนทำงาน คล้ายกับว่า เป็นเรื่องที่คนทำงานในฐานะปัจเจกจะต้องรับผิดชอบ ความเป็นจริงแล้ว สาเหตุหลัก ๆ ของภาวะ “Work (ที่) ไร้ Balance” นั้น มาจากที่ทำงานหรือตัวองค์กร และสุดท้ายผลกระทบจากการขาดสมดุลในชีวิตของพนักงานก็ตกมาที่องค์กรในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภาพและประสิทธิภาพในการทำงานลดลง อัตราลางานและอัตราการลาออกที่สูงขึ้น 

 

บทความนี้ จึงอยากชวนให้องค์กรหรือบริษัทเข้าใจถึงผลกระทบในประเด็นนี้ เข้าใจถึงบทบาทที่องค์กรสามารถส่งเสริมให้พนักงานมีสมดุลระหว่างการทำงาน-การใช้ชีวิตที่ดีได้ พร้อมกับไอเดียในการแก้ปัญหาที่หลาย ๆ องค์กรเริ่มปรับใช้นำร่องไปก่อนแล้ว จะมีวิธีการไหนบ้าง 

 

 

Work Life Balance คืออะไร

มาเริ่มทำความเข้าใจนิยามของคำคำนี้ ให้เข้าใจตรงกันก่อน 

 

Work Life Balance คือ สมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต ซึ่งคำสำคัญที่ต้องเข้าใจก็คือ ‘สมดุล’ ที่ว่านั้นหมายถึงอะไร คำว่า “สมดุล” ในที่นี้ หมายถึง การทำงานและการใช้ชีวิตไม่ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อกันและกัน ในบางจังหวะชีวิตอาจทำงานหนักกว่าการใช้เวลาส่วนตัว หรือในบางช่วงภาระความรับผิดชอบต่าง ๆ ในชีวิตก็เรียกร้องให้เอาใจใส่มากกว่า 

 

ดังนั้น คำว่า “สมดุล” หรือ “Balance” ในที่นี้ จึงไม่ได้หมายถึงการแบ่งเวลาหรือพลังงานของคนเราแบบเท่า ๆ กัน 50 : 50 หรือทฤษฎีการจัดสรรเวลาสูตร 8 : 8 : 8 (เป็นเวลาทำงาน เวลาพักผ่อน และเวลาสำหรับการดูแลชีวิต) ที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกัน จึงไม่ใช่ตัวอย่างของการปรับสมดุล Work Life Balance เท่านั้น 

 

นอกจากนี้ การที่คนคนหนึ่งทำงานหนักมากอย่างเช่น คนที่ทุ่มเททำงานเพื่อสร้างธุรกิจในช่วงตั้งไข่อาจทำงานมากถึงวันละ 14 ชั่วโมง หรือเจ้าของกิจการที่ทำงานหนักกว่าพนักงาน ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาขาด Work-life balance เสมอไป ทั้งหมดขึ้นอยู่กับจังหวะในชีวิตของเขาในช่วงนั้น ๆ ต้องการทำอะไร แล้วการทำงานของเขากระทบกับการใช้ชีวิต สุขภาพ หรือความสัมพันธ์กับคนรอบตัวแค่ไหน

 

ความสำคัญของ Work Life Balance ในมุมขององค์กร/บริษัท

 

ในมุมของคนทำงาน คงไม่ต้องอธิบายกันมากมาย ว่าทำไมเรื่อง Work-life balance ถึงสำคัญ เพราะการทำงานหนักมากเกินไปจนเสียสมดุล ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต รวมไปถึง ไม่มีเวลาในการดูแลตัวเองและจัดการเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต

 

ส่วนในมุมของบริษัท ปัญหา Work-Life Balance ยังเป็นปัญหาที่หลายองค์กรยังมองข้ามอยู่ เพราะเมื่อมองอย่างผิวเผินแล้ว การที่พนักงานทุ่มเททำงานหนักให้บริษัทน่าจะเป็นเรื่องที่บริษัทได้ประโยชน์เต็ม ๆ

 

ความเป็นจริงแล้ว การที่พนักงานขาด Work-life balance จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของบริษัท/องค์กรเหมือนการที่โดมิโน่ล้มต่อกันไปเรื่อย ๆ เริ่มจากปัญหาสุขภาพพนักงานที่ย่ำแย่ลงจากการทำงานหนักและขาดเวลาในการดูแลตัวเอง ปัญหาสุขภาพใจจากการทำงาน เช่น ภาวะเครียด วิตกกังวล หรือรุนแรงถึงภาวะหมดไฟ และภาวะซึมเศร้า ฯลฯ โดยข้อมูลจาก ACAS ระบุว่า ภาวะขาด Work Life Balance เป็นสาเหตุให้พนักงานลางาน และส่งผลให้ประสิทธิภาพและ Productivity ในการทำงานลดลง

 

ในทางกลับกัน หากคนทำงานมี Work Life Balance ที่ดี ก็มีแนวโน้มที่พวกเขาจะทำงานได้ดีขึ้น โดยมีอีกหนึ่งงานวิจัยที่ทำการศึกษาบริษัทถึงกว่า 80% ใน Fortune 500 (500 บริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกา) พบว่า คนทำงานที่เชื่อว่าตัวเองมี work-life balance ทำงานหนักมากกว่าถึง 21%  เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีสมดุลระหว่างการงานและชีวิตที่ดี 

 

นอกจากนี้ เรื่องของ Work Life Balance ยังสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการทำงานของพนักงาน ยิ่งถ้าพนักงานมีความพึงพอใจกับงานหรือสถานที่ทำงานก็มีแนวโน้มที่พวกเขาจะเต็มที่กับการทำงานเพื่อตอบแทนองค์กรมากกว่าอีกด้วย

 

คำถามก็คือ เมื่อ Work-Life Balance ส่งผลต่อบริษัทขนาดนี้ บริษัทควรจะส่งเสริมสมดุลการงาน-การใช้ชีวิตของพนักงานอย่างไรดี?

 

เคล็ดลับสำหรับองค์กร สร้างสมดุลการทำงานให้กับพนักงาน

 

สำหรับธุรกิจหรือองค์กรที่เห็นความสำคัญของ Work-life balance และอยากส่งเสริมสมดุลการงาน-การใช้ชีวิตให้กับพนักงาน ด้านล่างนี้ คือ ไอเดียที่หลาย ๆ องค์กรได้เริ่มต้นทำไปก่อนแล้วได้ผล ที่เราอยากแนะนำเป็นแนวทางให้บริษัทหรือองค์กรของคุณนำไปพิจารณาปรับใช้ต่อ

 

1. ยืดหยุ่นเวลาเข้า-ออกงาน

ในบางครั้ง เวลาการเข้า-ออกงาน หรือการตอกบัตร-สแกนนิ้วรายงานตัวเข้าทำงานก็เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต เพราะในบางวัน พนักงานอาจมีเหตุจำเป็นที่ต้องสะสางให้เรียบร้อยก่อน การกำหนดเวลาเข้า-ออกงานแบบเป๊ะ ๆ หรือมีมาตรการหักเงินค่ามาสาย อาจไม่สมเหตุสมผลเสมอไป

 

เวลาเข้า-ออกงานที่ยืดหยุ่นจะช่วยให้พนักงานมีอำนาจในการจัดสรรและบริหารเวลาส่วนตัวได้ดีขึ้น เช่น เช้านี้อาจต้องไปทำธุระที่ธนาคารก่อนเข้างาน หรือบางคนต้องไปส่งลูกค้าเข้าโรงเรียนก่อน ฯลฯ 

 

บริษัทสามารถส่งเสริม Work life balance ในจุดนี้ได้ อาจเป็นการกำหนดเวลาทำงานครบ 8 ชั่วโมง และมีกะให้เข้าสามช่วง เช่น 8, 9 และ 10 นาฬิกา หรือเปลี่ยนการวัดผลเป็นผลลัพธ์และประสิทธิภาพการทำงาน (Performance Based) โดยที่ไม่สนใจเวลาเข้าทำงาน เพียงแต่ตกลงเวลาส่งงานและประชุมงานเท่านั้น 

 

2. Work From Home และ Remote Working 

 

 

คล้ายกับเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น อีกมาตรการที่ช่วยส่งเสริมให้พนักงานมีสมดุลการทำงาน-การใช้ชีวิตที่ดี คือ การที่พวกเขาสามารถเลือกทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) หรือจะทำงานจากที่ใดก็ได้ (Remote Working) ขอแค่ให้ทำงานออกมาสำเร็จทันเวลา  

วิธีการนี้ จะช่วยเปิดโอกาสให้พนักงานมีเวลาในการดูแลตัวเองมากขึ้น มีเวลาจัดระเบียบบ้านและชีวิต หรือมีเวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้น จากการที่ไม่ต้องเดินทางไปทำงาน 

 

ปัจจุบัน บางองค์กรก็นำแนวคิดนี้ มาปรับใช้ผสมผสานกับการทำงานในรูปแบบปกติ (Routine Woring) เช่น สามารถทำงานที่บ้านหรือที่ใดก็ได้ 2 วันต่อสัปดาห์ หรือเข้าออฟฟิศมาประชุมกันเพียงสัปดาห์ละครั้ง หรือบริษัทสมัยใหม่บางที่ก็ถึงขึ้นอนุญาตให้พนักงานสามารถ Workation ทำงานได้ด้วย-ท่องเที่ยวไปได้อีกด้วย

 

3. รีวิว Workload หรือภาระงาน และกระจายงาน

 

หนึ่งในปัญหาสำคัญของ Work-ไร้-Balance คือ การที่ภาระงานของคนทำงานหนักเกินไป ซึ่งผู้มอบหมายงาน หัวหน้างาน หรือผู้จัดการควรหมั่นรีวิวภาระงานของคนทำงานในทีมแต่ละคน ดูว่าใครรับภาระมากเกินไปหรือเปล่า หรือพนักงานคนไหนที่สามารถแบ่งเบาภาระไปทำเพิ่มเติมได้บ้าง 

 

ฟีเจอร์ Workload Management จาก Clickup

ฟีเจอร์ Workload Management จาก Clickup

 

สำหรับวิธีติดตาม Workload ของพนักงานแต่ละคน องค์กรสามารถใช้เครื่องมือจัดการภาระงาน จำพวก Productivity Tools หรือ Project Management ที่ใช้มอบหมายงานและสามารถกำหนดระยะเวลาที่ใช้ทำงานโดยประมาณ (Estimate working hour) เพื่อสรุป workload ของพนักงานในแต่ละสัปดาห์ได้ หรืออาจจะใช้การแบ่งสล็อตงาน (slot) บน Excel หรือ Google Sheet ก็เป็นอีกเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย

 

4. สวัสดิการสุขภาพและการส่งเสริมสุขภาวะ

 

สวัสดิการสุขภาพ เช่น เงินช่วยค่ารักษาพยาบาล ประกันสุขภาพ สิทธิวันลาป่วย ฯลฯ หรือสวัสดิการที่ช่วยส่งเสริมการดูแลตัวอย่าง เช่น สิทธิหรือส่วนลดฟิตเนส โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพพนักงาน (EAP) ที่คอยเตือนให้พนักงานใส่ใจดูแลสุขภาพ จะช่วยลดภาระในการดูแลสุขภาพของพนักงานลง 

ตัวอย่าง EAP ดูแลสุขภาพพนักงานจาก SAKID

ตัวอย่าง EAP ดูแลสุขภาพพนักงานจาก SAKID

 

รวมไปถึงการส่งเสริมสุขภาวะที่ดีผ่านกิจกรรมหรือนโยบายองค์กร ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมลดน้ำหนักพนักงาน กิจกรรมออกกำลังกายต่าง ๆ โรงอาหารสุขภาพ (Healthy canteen) หรือของว่างสุขภาพ (Healthy snack break)  ก็ช่วยสร้างสมดุลในด้านสุขภาพให้กับพนักงาน 

 

นอกจากนี้ เรื่องของสุขภาพจิตเป็นอีกเรื่องที่ต้องใส่ใจ บริษัทสมัยใหม่จะให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพจิต โดยการให้มีนักจิตวิทยาหรือบริการที่เกี่ยวข้องให้พนักงานไปพูดคุยขอคำปรึกษา หรือใช้โปรแกรมผู้ช่วยพนักงาน หรือ EAP อย่าง SAKID ที่มีฟีเจอร์ติดต่อพูดคุยกับนักจิตวิทยาได้ 

 

5. สนับสนุนค่านิยม Work Life Balance 

 

นอกจากเรื่องของนโยบายการทำงานที่ส่งเสริม Work-lofe balance และสวัสดิการต่าง ๆ แล้ว เรื่องของการสร้างวัฒนธรรมและส่งเสริมค่านิยมเองก็เป็นอีกองค์ประกอบที่สำคัญ

 

เริ่มต้นจากการที่หัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้บริหาร ส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานที่ให้คุณค่ากับ Work-life balance และเคารพเวลาส่วนตัวของพนักงาน เช่น ไม่ทักถามเรื่องงานหลังเวลางาน ไม่ส่งเสริมให้ทำงานล่วงเวลา มีระบบการประเมินผลจากผลงานมากกว่าปริมาณงานหรือเวลาที่ใช้ สร้างบทสนทนาในเรื่องอื่น ๆ นอกเหนือจากเรื่องงาน เพื่อสนับสนุนให้พนักงานใส่ใจกับชีวิตในด้านอื่น ๆ และไม่รู้สึกว่า ชีวิตด้านอื่นมีความสำคัญน้อยกว่าเรื่องงาน 

 

คำแนะนำสำหรับพนักงาน เมื่อที่ทำงานขาด Work Life Balance

 

 

แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกบริษัทจะใส่ใจเรื่อง Work-life balance ของพนักงาน ในมุมของพนักงานควรจะต้องทำอย่างไร หากรู้สึกว่า ที่ทำงานไม่สนับสนุนหรือส่งเสริมให้พนักงานมีสมดุลที่ดีในการทำงานและการใช้ชีวิต 

 

1. นิยามและแจกแจงปัญหาที่กำลังเผชิญ

 

พยายามแจกแจงปัญหาเรื่องการทำงานที่รบกวนการใช้ชีวิตออกมาว่ามีอะไรบ้าง เช่น การทักถามงานนอกเวลาทำงาน ระยะเวลาที่กระชั้นชิดจนต้องทำงานล่วงเวลา การส่งเสริมให้คนทำงานล่วงเวลาหรือเกินหน้าที่จนเป็นเรื่องปกติหรือมาตรฐาน

 

2. สื่อสารปัญหา หารือ และเสนอทางแก้

 

สื่อสารปัญหากับหัวหน้างาน ผู้จัดการ หรือคนที่มีอำนาจในการจัดการ พร้อมเสนอหนทางเริ่มจากสิ่งการเคารพเวลาส่วนตัว การสื่อสารถึงภาระงานที่หนักเกินไป การหารือแจกแจงและกระจายงาน ซึ่งพนักงานสามารถรวมตัวกันหารือและเสนอวิธีการแก้ไขปัญหา อาจใช้วิธีการในบทความนี้ หรือหาวิธีการอื่น ๆ เพิ่มเติม

 

3. รักษา Work-life balance เท่าที่ทำได้ก่อน 

 

ไม่ว่าการสื่อสารปัญหากับหัวหน้างานหรือบริษัทจะประสบความสำเร็จหรือไม่ อย่างไรในฐานะบุคคล คนทำงานสามารถรักษา Work-life balance ในขอบเขตที่สามารถทำได้ก่อน เช่น

 

– ให้ความสำคัญกับสุขภาพและการดูแลตัวเอง

 

– ตั้งเป้าหมายและลำดับความสำคัญของงานและชีวิต

 

– ขีดเส้นเวลาทำงานให้ชัดเจน ควรล็อกเวลาพักผ่อนและเวลานอนให้ตัวเอง

 

– วางแผนพักผ่อนหรือท่องเที่ยว วางแผนการลาพักร้อน 

 

– เรียนรู้ที่จะปฏิเสธและต่อรองขอความช่วยเหลือ

 

– ไม่ตอบหรือสนใจข้อความเกี่ยวกับเรื่องงานนอกเหนือเวลางาน 

 

– ไม่กลัวที่จะขาดการติดต่อกับงาน เมื่อหมดเวลางาน

 

สรุป

 

เรื่องของการสร้าง Work-life balance ไม่ใช่เรื่องของปัจเจกบุคคลหรือตัวคนทำงานที่ต้องรับผิดชอบเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องยากที่คนทำงานจะรักษาสมดุลการทำงานและการใช้ชีวิต หากบริษัทไม่ได้สนับสนุนค่านิยมนี้และทำในสิ่งตรงข้าม 

 

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการที่พนักงานขาด Work life balance ก็ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อบริษัทหรือองค์กรได้เช่นกัน บทบาทของการส่งเสริมให้พนักงานมีสมดุลในการทำงานและการใช้ชีวิตจึงถือเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้บริษัทเติบโตขึ้นอย่างยั่งยืน หวังว่า บทความนี้ จะช่วยให้องค์กรของคุณเห็นความสำคัญของ Work-life balance และแนวทางในการปรับใช้ต่อไป

บทความที่น่าสนใจ

Cover-ครูรัก-Sakid

Workshop “การจัดการความเครียด”

กิจกรรม Workshop “การจัดการความเครียด”

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2566 Sakid ได้จัดกิจกรรม Workshop “การจัดการความเครียด”  ให้กับบริษัทเอสพี อินเตอร์แมคและการไฟฟ้านครหลวง  โดยวิทยากรนักจิตวิทยาองค์กร ครูรักอมยิ้ม คุณอานนท์ ตั้งกิตติทรัพย์ ภายในงานผู้เข้าร่วมได้รับเทคนิคการจัดการความเครียด และการบริหารการทำงานให้มี Work-life balance

อ่านต่อ »
Sakid thumbnail -mental health

7 วิธีดูแลสุขภาพจิตใจพนักงาน เพื่อสร้างความสุขและประสิทธิภาพในการทำงาน

ในโลกของการทำงานยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกดดัน ปัญหาสุขภาพจิตใจของพนักงานกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกองค์กรต้องให้ความสนใจ จากการสำรวจของ WHO พบว่ากว่า 264 ล้านคนทั่วโลกต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้า และอีกกว่า 284 ล้านคนมีความวิตกกังวลผิดปกติ ซึ่งนอกจากจะส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตพนักงานแล้ว ยังบั่นทอนประสิทธิภาพการทำงานไปด้วย (World Health Organization, 2022) และนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพจิตมีหลายรูปแบบ ได้แก่ ภาวะเครียดเรื้อรัง ความวิตกกังวล ภาวะหมดไฟ โรคซึมเศร้า โดยปัญหาสุขภาพจิตเหล่านี้มีสาเหตุได้หลากหลายด้าน ทั้งจากลักษณะงาน ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน การบริหารจัดการ รวมถึงปัญหาส่วนตัว (Pfeffer, 2018)

อ่านต่อ »
Cover-sakid-บางเขน

บูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิด ที่การไฟฟ้านครหลวง เขตบางเขน

บูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิด ที่การไฟฟ้านครหลวง เขตบางเขน

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2566 Sakid ได้ออกบูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิดให้กับการไฟฟ้านครหลวง เขตบางเขน ในกิจกรรม Fun for Fit เพื่อแนะนำการเข้าร่วมโครงการ  “MEA เบิร์นเกินร้อย” เปิดศึกการแข่งกันระหว่างทีมเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี ด้วยการส่งภารกิจสุขภาพผ่านแอพสะกิด และลุ้นรับของรางวัลในแต่ละเดือน

อ่านต่อ »
Sakid -Csr พนักงานออกกำลังกาย

CSR กับ SAKID พนักงานได้ออกกำลังกายและช่วยเหลือสังคมได้ด้วย

  การจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพให้กับพนักงานโดยการนำ CSR มารวมกันด้วย เป็นหนึ่งในไอเดียในการทำกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพพนักงานในบริษัทและยังมีกิจกรรมในการทำสิ่งที่มีประโยชน์คืนสู่สังคมอีกด้วย เป็นกิจกรรมที่ได้ประโยชน์เป็นอย่างมากนอกจากสุขภาพพนักงานดีขึ้นด้วยกิจกรรมส่งเสริม Productivity และยังมีกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อสังคม

อ่านต่อ »
Cover-Sakid-บางบัวทอง

บูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิด ที่การไฟฟ้านครหลวง เขตบางบัวทอง

บูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิด ที่การไฟฟ้านครหลวง เขตบางบัวทอง

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566 Sakid ได้ออกบูธประชาสัมพันธ์แอพสะกิดให้กับการไฟฟ้านครหลวง เขตบางบัวทอง ในกิจกรรม Fun for Fit เพื่อแนะนำการเข้าร่วมโครงการ  “MEA เบิร์นเกินร้อย” เปิดศึกการแข่งกันระหว่างทีมเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี ด้วยการส่งภารกิจสุขภาพผ่านแอพสะกิด และลุ้นรับของรางวัลในแต่ละเดือน

อ่านต่อ »
หนังสือจิตวิทยา ปลุกพลัง-SAKID

5 หนังสือจิตวิทยา ปลุกพลังความก้าวหน้าในอาชีพ ที่ต้องมีติดโต๊ะทำงาน

          หากคุณเป็นพนักงานออฟฟิศหรือผู้ที่ทำงานในองค์กร ที่รู้สึกติดอยู่ในวังวนเดิม ๆ ไม่มีความก้าวหน้าหรือความสุขในการทำงาน และต้องการหาแรงบันดาลใจเพื่อพัฒนาตนเองให้ทำงานได้อย่างมีความสุขและประสิทธิภาพมากขึ้น บทความนี้มีหนังสือจิตวิทยาดีๆ  5 เล่มจากผู้เชี่ยวชาญ ที่จะช่วยปลุกพลังและเสริมสร้างศักยภาพในการทำงานของคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ หนังสือเหล่านี้จะช่วยให้คุณค้นพบตัวเอง ปลดล็อกความคิด และปรับมุมมองใหม่ในการทำงานและการใช้ชีวิต

อ่านต่อ »
workation คือ
URL Copied!

Workation คืออะไร จะเลือกที่เที่ยวพร้อมกับทำงานอย่างไรดี

การทำงานในทุกวันนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเข้าออฟฟิศเพียงเท่านั้น แต่เรายังสามารถออกแบบรูปแบบการทำงานที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ได้มากขึ้น ซึ่งไม่นานมานี้ รูปแบบการทำงานอย่างที่เรียกว่า “Workation” หรือ แนวคิดการทำงานแบบ “เที่ยวได้ ทำงานด้วย” ถือว่าเป็นเทรนด์การทำงานที่มาแรงสุด ๆ โดยเฉพาะหลังจากที่โลกผ่านวิกฤตโควิด-19 มา

 

ความจำเป็นที่ต้อง Work From Home ในช่วงล็อกดาวน์ ทำให้คนทำงานในหลาย ๆ อาชีพ โดยเฉพาะเหล่าพนักงานออฟฟิศเริ่มคุ้นเคยกับระบบการทำงานทางไกลและจากที่ใดก็ได้ และหลาย ๆ บริษัทเองก็เริ่มนำแนวคิด “Workation” มาใช้ในองค์กรเพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานได้สร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต ให้พวกเขาได้ออกแบบไลฟ์สไตล์และเลือกสถานที่ทำงานด้วยตัวเอง 

 

ชวนมาทำความเข้าใจแนวคิดการทำงานในรูปแบบ Workation พร้อมกับแนะนำแนวทางในการเริ่มต้น Workation สำหรับคนทำงานและองค์กรที่อยากลองใช้แนวคิดนี้กัน

 

Workation คือ

 

Workation มาจากคำสองคำ ได้แก่  “Work” + “Vacation” หมายถึง การทำงานไปด้วยและหยุดพักผ่อนไปด้วยในเวลาเดียวกัน รูปแบบการทำงานภายใต้แนวคิดแบบนี้ ไม่จำเป็นว่าพนักงานหรือคนทำงานต้องนั่งทำงานในออฟฟิศหรือสถานที่ทำงานที่กำหนดไว้เท่านั้น พวกเขาสามารถทำงานจากที่ไหนของมุมโลกก็ได้ 

 

Workation จะเป็นการทำงานนอกออฟฟิศหรือสถานที่ทำงาน เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานที่ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากกว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพ (Efficiency & Productivity) การทำงาน เพราะคนทำงานสามารถเลือกอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แปลกใหม่ได้ตลอด

 

ทั้งนี้ การทำงานแบบ Workation จะแตกต่างจากการทำงานผ่านระบบออนไลน์หรือการ WFH ธรรมดาเพราะจะมุ่งหาความรื่นรมย์ในการใช้ชีวิตแบบการท่องเที่ยวมากกว่า อาจหมายถึงการออกเดินทางไปพักและทำงานในสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่ได้เปิดหูเปิดตา เช่น ทะเล ภูเขา เมืองท่องเที่ยวต่าง ๆ ฯลฯ และด้วยรูปแบบการทำงานนี้ ยังทำให้เกิดกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “Digital Nomad” หรือคนทำงานที่อพยพใช้ชีวิตตามที่ต่าง ๆ ไม่ยึดติดกับพื้นที่ โดยทำงานผ่านอินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มดิจิทัล 

 

ทำไมเทรนด์ Workation ถึงมาแรงในปัจจุบัน

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า Workation ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากวัฒนธรรมการทำงานที่เปลี่ยนไปตั้งแต่ช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่มีมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้คนทำงานจำเป็นต้อง Work From Home และเริ่มคุ้นเคยกับวิถีการทำงานนอกออฟฟิศและรูปแบบการทำงานที่มีความยืดหยุ่น

 

สถานการณ์ล็อกดาวน์ปิดประเทศ ทำให้คนทำงานต้องการการพักผ่อนและออกเดินทาง ซึ่งสอดคล้องไปกับเทรนด์ความต้องการทำงานในรูปแบบ Workation มีข้อมูลที่น่าสนใจจากเว็บไซต์ Booking.com ที่สำรวจความคิดเห็นผู้คนกว่า 20,000 คน จาก 28 ประเทศ เมื่อปี 2021 ได้แก่ 

 

– มีคนไทยถึง 6 ใน 10 ที่สนใจการท่องเที่ยวไป ทำงานไป หรือ “Workation”

 

– 69% พร้อมเดินทางไปต่างประเทศทันทีเมื่อเปิดพรมแดนประเทศ 

 

– การทำงานทางไกล (Remote Working) จะกลายเป็นเทรนด์การทำงานที่จะมาแรง 

 

การทำงาน 2021

ขอบคุณข้อมูลจาก BLT Bangkok

 

ในปี 2022 เราจึงเริ่มเห็นและคุ้นเคยกับคนที่ทำงานทางไกล ทำงานจากที่บ้าน หรือทำงานแบบ Workation ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ มากขึ้น 

 

นอกจากนี้ ยังมีวิจัยว่า การทำงานในรูปแบบนี้ ให้ประสิทธิภาพมากกว่า การทำงานในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ หรือการเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศหรือสถานที่ทำงานหลักเท่านั้น โดย the Centre for Economics and Business Research (CEBR) ได้ทำสำรวจเกี่ยวกับการทำงานในรูปแบบทางไกลหรือ Remote Working ได้ข้อสรุปว่า การทำงานจากที่ใดก็ได้ (Work From Anywhere) ช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานของคนทำงานดีขึ้น 

 

– 70% บอกว่า การทำงานจากที่ใดก็ได้ช่วยลดความเครียดและความกังวลเกี่ยวกับการหยุดงาน

 

– 74% เชื่อว่าการทำงานรูปแบบทางไกลช่วยเพิ่มสมดุลการใช้ชีวิตหรือ Work-life Balance

 

– 66% บอกว่า มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น 

 

ในวิจัยสำรวจชุดเดียวกัน สอบถามเพิ่มเติมถึงความต้องการของผู้ตอบแบบสำรวจ ก็พบเทรนด์ที่น่าสนใจว่า  90% ของคนทำงาน (อายุ 16 – 55 ปี) ต้องการการทำงานจากที่ไหนก็ได้ และอีกกว่า 69% ของกลุ่มสำรวจที่ไม่ได้ทำงาน ก็คิดเห็นและต้องการการทำงานจากที่ใดก็ได้เช่นเดียวกัน

 

รูปแบบการทำงานแบบ Remote Working หรือ Workation จึงเป็นเทรนด์การทำงานที่องค์กรและบริษัทไม่ควรมองข้ามให้ความสนใจ

 

ข้อดี-ข้อเสียสำหรับการ Workation

 

เทรนด์การทำงานแบบเที่ยวไป ทำงานไป ก็ดูจะมีข้อดีมากมาย ที่สามารถตอบโจทย์คนทำงานรุ่นใหม่ได้ แต่เรามาดูข้อดี-ข้อเสีย ให้รอบด้านมากขึ้นอีกนิดเพื่อเข้าใจรูปแบบการทำงานแบบนี้มากขึ้น

 

ข้อดีของ Workation

 

– พนักงานได้ทำงานไปพร้อมกับการใช้ท่องเที่ยว ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ

 

– พนักงานสามารถจัดสรรเวลาการทำงานของตัวเองได้อย่างอิสระ

 

– ลดสภาวะการเครียดและความกังวลจากการทำงาน 

 

– คนทำงานได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ในการทำงาน ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์

 

– องค์การสามารถจัด Workation ให้ทีมไปทำงานด้วยกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีมได้

 

– ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้คนทำงาน

 

– ช่วยเป็นโอกาสให้คนทำงานได้ทำความรู้จักคนใหม่ ๆ หรือ Networking กับกลุ่มคนที่ Workation เหมือนกัน

 

ข้อเสียของ Workation

 

– พนักงานที่ Workation มีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งค่าที่พักและค่าเดินทาง 

 

– สถานที่ Workation อาจไม่เหมาะกับการทำงาน ส่งผลให้ประสิทธิภาพและผลิตภาพ (Productivity) การทำงานลดลง

 

– หากบริษัทไม่วางระบบหรือนโยบายการทำงานที่ดี อาจเกิดปัญหาการทำงาน การสื่อสาร และการร่วมงานกันในองค์กร

 

อยากจัด Workation ในองค์กร จะเตรียมตัวอย่างไร

 

 

สำหรับองค์กรหรือบริษัทที่เห็นความสำคัญของ Workation หรือต้องการทดลอง ก็มีคำแนะนำสำหรับการวางรูปแบบการทำงานแบบใหม่ ดังนี้

 

นโยบายการทำงานทางไกล 

 

วางระบบการทำงานทางไกลให้ชัดเจน ซึ่งในหลาย ๆ องค์กรที่เคยปรับรูปแบบการทำงานเป็น Work From Home มาแล้ว อาจนำข้อตกลงหรือแนวปฏิบัติในตอนนั้นมาใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็น

 

– วางระบบการทำงานที่แน่นอน งานทุกชิ้นควรมีแผนงานที่ชัดเจน พร้อมกับแนวทางในการกระจายภาระงาน 

 

– การกำหนดเวลาทำงาน การนัดหมาย การประชุม

 

– กำหนดวิธีการและแนวทางปฏิบัติในการติดตามงาน ส่งงาน รีวิวงาน ลำดับขั้นในการตรวจอนุมัติ

 

– ประเมินประสิทธิภาพการทำงานจากผลลัพธ์มากกว่าระยะเวลาการเข้า/ทำงาน (Performance-based Assessment)

 

Vacation vs Workation 

 

เมื่อการทำงานมาอยู่ในรูปแบบ Workation แล้ว แน่นอนว่า สำหรับการทำงานในองค์กรหรือบริษัท ต้องเกิดความสับสนระหว่าง “Vacation” (วันลาหยุดพักผ่อน) กับ Workation 

 

เป็นเรื่องที่องค์กรและพนักงานควรจะต้องตกลงให้เข้าใจตรงกันว่า เมื่อทำงานแบบ Workation สวัสดิการวันหยุดลาพักผ่อนจะต้องเป็นอย่างไร เพราะทั้งสองอย่างนี้ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน Workation ที่เพิ่มเข้ามา บริษัทจะลดวันหยุดพักผ่อนหรือไม่ เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ต้องสร้างความเข้าใจ เพื่อเลี่ยงความสับสน

 

การกำหนดเป้าหมายและแผนงาน 

 

การทำงานในรูปแบบ Workation ส่วนใหญ่แล้ว แต่ละคนจะทำงานกันจากคนละสถานที่ จึงไม่สามารถหันหรือเดินไปพูดคุยสื่อสารกันได้โดยตรง การกำหนดเป้าหมาย แผนงาน และการมอบหมายงานพร้อมความคาดหวังที่ชัดเจนจะช่วยให้คนทำงานแต่ละคน เข้าใจหน้าที่ และทำงานได้ตรงกับความคาดหวังของบริษัทได้ 

 

Workation

 

เครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่จะใช้ 

 

เครื่องมือ อุปกรณ์ หรือแพลตฟอร์มที่ใช้ในการทำงานมีความสำคัญขึ้นมาก เมื่อ Workation เพราะคนทำงานทำงานจากคนละที่ เครื่องมืออย่าง Communication Tools และ Collaboration Tools เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตกลงว่า จะใช้อะไรในการสื่อสารและจัดการงาน ซึ่งในปัจจุบันก็มีโปรแกรม/ซอฟต์แวร์สำหรับการทำงานทางไกลและ WFH มากมาย เช่น Asana, Trello, Google Sheet, Zoom, Microsoft Team ฯลฯ

 

สวัสดิการพนักงานระหว่าง Workation

 

แม้ว่า Workation คนทำงานจะไม่ต้องเข้าออฟฟิศ พวกเขาก็ยังสมควรได้รับการดูแลและสวัสดิการพื้นฐานต่าง ๆ จากบริษัทอยู่ เช่น วันลาหยุดพักผ่อน วันลาป่วย สิทธิประกันสังคม ประกันสุขภาพ และสวัสดิการอื่น ๆ ที่สนับสนุนให้การใช้ชีวิตและการทำงานของพวกเขาราบรื่นขึ้น 

 

นอกจากนี้ แม้จะ Workation 100% เรื่องของ ‘สวัสดิการ’ ก็ยังเป็นสิ่งที่พนักงานมองหา 

 

สวัสดิการที่ช่วยส่งเสริมให้พวกเขาเรียนรู้และพัฒนาทักษะ สวัสดิการที่ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการทำงาน เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าอินเทอร์เน็ต ฯลฯ และสวัสดิการสุขภาพที่ช่วยส่งเสริมให้คนทำงานมีสุขภาพที่ดี  

 

สำหรับบริษัทที่มีมาตรการ Work From Home, Remote Working หรือ Workation อยู่ บริการและแอปพลิเคชันอย่าง SAKID ถือเป็นสวัสดิการด้านสุขภาพที่บริษัทสามารถใช้ดูแลพนักงานได้ แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ใกล้ ด้วยฟีเจอร์ที่คอย ‘สะกิด’ ให้พนักงานดูแลตัวเอง ใส่ใจการออกกำลังกายและการบริโภคมากขึ้น รวมไปถึงสวัสดิการที่คนรุ่นใหม่มองหา คือ การที่มีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำทั้งนักควบคุมอาหาร นักวิทยาศาสตร์การกีฬา และนักจิตวิทยาให้พวกเขาปรึกษาเรื่องต่าง ๆ ก็รวมอยู่ใน SAKID แอปเดียว  

 

เลือกสถานที่ Workation แบบไหนดี ให้ได้ทั้งทำงานและท่องเที่ยว

 

สำหรับบริษัทไหนที่ตัดสินใจว่า อยากจะลองให้พนักงาน Workation กันดูบ้าง หรืออยากจะลองจัดทริปเที่ยวไปทำงานไปกันยกทีม เป็นอีกไอเดียสำหรับการคิดหรือเริ่มต้นทำโปรเจกต์ใหม่ ๆ มีคำแนะนำในการเลือกสถานที่ที่ทั้งทำงานและเที่ยวในเวลาเดียวกัน ดังนี้

 

– เลือกประเภทที่พักที่เหมาะกับการทำงาน เช่น หอพัก โรงแรม โฮสเตล ฯลฯ ต้องคำนึงว่า ถ้าเป็นกระท่อมขนาดกะทัดรัดจะมีพื้นที่ทำงานได้สะดวกหรือไม่ ถ้าเป็นโฮมสเตย์จะมีสมาธิหรือเปล่า สถานที่ทำงานมีเสียงหรือสิ่งรบกวนระหว่างวันหรือไม่ พร้อมคำนึงถึงจำนวนสมาชิกในทีม

 

– เลือกพักในที่พักที่เป็น Workation-friendly แน่นอนว่า สถานที่ที่ไปพักจะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานและมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการทำงานให้กับเรา เช่น มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีโต๊ะ/มุมสำหรับจัดโต๊ะทำงาน มีไฟฟ้าสำรอง ถ้ามีโปรเจกเตอร์นำเสนองานด้วยก็ยิ่งดี ส่วนเรื่องของบรรยากาศก็ต้องเงียบสงบ ใกล้แหล่งของกิน ทิวทัศน์สวยงาม

 

– เลือกที่พักที่คุ้นเคยหรือเคยไปมาแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าทำงานได้ ลดความกังวล และประหยัดพลังงานในการปรับตัวมากกับสถานที่ลง

 

ประเทศไทยเป็นอีกจุดหมายสำคัญของ Digital Nomad และคนที่ทำงานแบบ Workation ทั่วโลก โดยจังหวัดที่เป็นจุดหมายสำคัญส่วนใหญ่จะเป็นจังหวัดที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและการคมนาคมดี รวมไปถึง มีสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อน ยกตัวอย่างเช่น 

 

– เชียงใหม่ ที่มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม คาเฟ่ สถานบันเทิง และมีการคมนาคมที่สะดวกสบาย ทั้งขนโดยสาร รถไฟ เครื่องบิน

 

– ภูเก็ต อีกจุดหมายของคนที่อยากทำงานและเที่ยวไปด้วย จังหวัดภูเก็ตมีทั้งที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมเฉพาะตัวที่โดดเด่น อีกทั้งเป็นจังหวัดที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เหมาะกับการทำงาน มีที่พักหลากสไตล์ให้เลือก 

 

– พังงา จังหวัดทางใต้ที่อุดมไปด้วยธรรมชาติ ทั้งทะเล ภูเขา ป่า น้ำตก และหมู่เกาะที่สวยงามรายล้อม เป็นอีกทางเลือกสำหรับ Workation สำหรับสายลุย

 

– เกาะพงัน เกาะสมุย และเกาะเต่า จุดหมายสำหรับคนที่ชื่นชอบกิจกรรมทางน้ำและไลฟ์สไตล์บนชายหาด ทำงานริมทะเล พร้อมนั่งจิบเครื่องดื่ม ซึ่งทุกวันนี้ บนเกาะก็มีอินเทอร์เน็ตและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ดึงดูดให้คนทำงานทั่วโลกเดินทางมา Workation กันบนเกาะเหล่านี้ 

 

สรุป

 

Workation เป็นรูปแบบการทำงานที่รวมการพักผ่อนและท่องเที่ยวเข้าไว้ด้วยกัน ตั้งแต่วิกฤติการณ์โควิด-19 เป็นต้นมา รูปแบบการทำงานแบบนี้ก็เป็นเทรนด์การทำงานที่คำทำงานให้ความสนใจเป็นอย่างมาก องค์กรหรือบริษัทจึงไม่ควรมองข้ามพิจารณาปรับตัวองค์กรให้สอดคล้อง 

 

ในมุมขององค์กร แน่นอนว่า การนโยบาย Workation ยังเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและยังต้องหาวิธีการตกลงรูปแบบกับคนทำงานต่อไป หวังว่า บทความนี้จะช่วยให้องค์กรของคุณมีแนวทางในการวางแผน Workation ให้เกิดขึ้นจริงได้

บทความที่น่าสนใจ

Work-ต่าง-Gen--การทำงานร่วมกันของคนแต่ละรุ่น-01

Work ต่าง Generation (การทำงานร่วมกันของคนต่างวัย)

เวลาผ่านไป เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จะทำยังไง ให้การทำงานของคนต่าง generation หรือ แต่ละ gen ในบริษัททำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีปัญหา สำหรับบริษัทที่เปิดมาอย่างยาวนาน ก็ต้องย่อมมีคนทำงานเกิน 10 ปี ในระดับหัวหน้าและผู้บริหารระดับสูง ในขณะเดียวกันบริษัทก็ต้องรับคนใหม่เข้ามาเพื่อสานต่อการทำงานของบริษัท

อ่านต่อ »
PDCA-Sakid thumbnail

PDCA ตัวช่วยพัฒนาองค์กร

เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญต่อองค์กรอย่างมาก ที่มีบทบาทที่สำคัญในการพัฒนา ช่วยให้มีกระบวนการการจัดการที่มีประสิทธิภาพและดำเนินการภายในองค์กรอย่างเป็นระบบ

อ่านต่อ »
EAP คือ

EAP คือ ? รู้จักกับเครื่องมือสำคัญในการช่วยเหลือสุขภาพใจพนักงานให้ดียิ่งขึ้น

ปัญหาสุขภาพจิตของพนักงานเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่องค์กรไม่ควรมองข้าม เครื่องมือสำหรับช่วยเหลือในปัญหาสุขภาพจิตอย่าง EAP จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะมีไว้ในองค์กร

อ่านต่อ »
มารู้จัก-Healthy-Organization-องค์กรสุขภาพดี-SAKID

มารู้จัก Healthy Organization องค์กรสุขภาพดี

จากการสำรวจสุขภาพของประชากรไทยครั้งที่ 6 ซึ่งดำเนินการในปี 2562-2563 ซึ่งประเด็นในการสำรวจครอบคลุมในเรื่องพฤติกรรมสุขภาพ ภาวะโรคที่สามารถตรวจวัดพื้นฐาน ได้แก่ การวัดสัดส่วนร่างกาย ความดันโลหิต และการตรวจวัดน้ำตาล และไขมันในเลือด เป็นต้น โดยครอบคลุมทั้งในวัยทำงาน และผู้สูงอาย พบว่า ปัญหาอันดับต้นของสังคมในขณะนี้คือ โรคที่เกิดจากพฤติกรรมสุขภาพ หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเฉพาะภาวะอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงซึ่งมีผลต่ออุบัติการณ์โรคระบบหัวใจและหลอดเลือดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น เกิดภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการดูแลรักษา ในขณะที่ความสามารถในการทำงานก็ด้อยลงตามสภาพร่างกายส่งผลเสียเป็นวงกว้างทั้งแก่ตัวพนักงาน และองค์กร ดังนั้นมาตรการป้องกันและลดภาระโรคเหล่านี้จึงเป็นประเด็นสำคัญมาก  

อ่านต่อ »
Cover yoga-SAKID

WORKSHOP คลาสโยคะ

กิจกรรม  Workshop “คลาสโยคะ”

ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม  2566 – 21 กันยายน 2566  SAKID  ได้จัดกิจกรรม Workshop “คลาสโยคะ ” กันทุกสัปดาห์เป็นสวัสดิการที่เสริมสร้างร่างกายให้แข้งแรง โดยนักวิทยาศาสตร์การกีฬามาเป็นครูสอนโยคะที่จะพาพนักงานบริษัท ROCHE มายืดเหยียดร่างกายให้ผ่อนคลายเมื่อยจากการนั่งทำงานและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่นอีกด้วย

อ่านต่อ »
ออฟฟิศซินโดรม

เข้าใจ “ออฟฟิศซินโดรม” พร้อมวิธีป้องกันเบื้องต้นที่ทุกคนควรรู้

ออฟฟิศซินโดรม คืออะไร อาการ สาเหตุและพฤติกรรมเสี่ยง วิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิธีป้องกันออฟฟิศซินโดรมเบื้องต้น ที่คนทำงานและบริษัทต้องรู้

อ่านต่อ »